วันศุกร์, กันยายน 01, 2549


ศรัทธาชนทุกท่าน
อัลลอฮตะอาลา ได้ลงฟัรดูการทำละหมาด ณ ที่นครมักกะห์ และท่านรอซู้ลก็ได้ทำการละหมาด โดยที่หันหน้าไปทางกะอ์บะห์ แต่ต่อมา เมื่อท่านนบี ได้อพยพไปสู่นครมาดีะห์ อัลลอฮตะอาลาทรงบัญชาใช้ให้ท่านนบี ทำการละหมาดโดยหันหน้าไปทาง บัยตุ้ลมักดิส รวมระยะเวลาทั้งหมด ประมาณ 16 ถึง 17 เดือน โดยที่ ณ เวลานั้น ท่านนบีเองปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหันหน้าไปทางบัยตุ้ลลอฮ ณ มัสยิด อัลฮารอม
รายงานจากท่านบุคอรี จากท่าน บัรรออ์ บุตร ฆอริบ ได้กล่าวว่า “ขณะที่ท่านรอซู้ล(ซล.) กำลังละหมาดโดยหันไปทาง บัยตุ้ลมักดิสอยู่นั้น บ่อยครั้งที่ท่านแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า และรอคอย คำสั่งจากอัลลอฮตะอาลา และแล้ว ก็มีรับสั่งจากอัลลอฮ ตะอาลาว่า ...
قَدْ نَرَى تَقَلُّبَ وَجْهِكَ فِي السَّمَاء فَلَنُوَلِّيَنَّكَ قِبْلَةً تَرْضَاهَا فَوَلِّ وَجْهَكَ شَطْرَ الْمَسْجِدِ الْحَرَامِ وَحَيْثُ مَا كُنتُمْ فَوَلُّواْ وُجُوِهَكُمْ شَطْرَهُ وَإِنَّ الَّذِينَ أُوْتُواْ الْكِتَابَ لَيَعْلَمُونَ أَنَّهُ الْحَقُّ مِن رَّبِّهِمْ وَمَا اللّهُ بِغَافِلٍ عَمَّا يَعْمَلُونَ
“แท้จริงเราเห็นใบหน้าของเจ้าแหงนไปในฟากฟ้าบ่อยครั้ง แน่นอนเราก็จะให้เจ้าผินไปยังทิศกิบละห์ที่เจ้าพึงใจ ดังนั้นเจ้าจงผินใบหน้าของเจ้าไปทางมัสยิดิลฮะรอมเถิด และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ก็จงผินใบหน้าของพวกเจ้าไปทางมัสยิดอัลฮารอมและแท้จริงบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์(หมายถึง ยิว และ คริสต์)นั้นย่อมรู้ดีว่ามันคือความจริงที่มาจากพระเจ้าของพวกเขา และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน”
ศรัทธาชนที่เคารพ
ในอายะห์ที่กล่าวมานี้ เป็นบัญชาจากอัลลอฮตะอาลาที่มีต่อมุสลิม ให้พวกเขานั้นหันกลับไปทางกะอ์บะห์ หลังจากที่พวกเขาได้หันหน้าไปยังบัยตุ้ลมักดิส และยึดเอาบัยตุลมักดิสเป็นกิบลัตอยู่ในเวลานั้น
อันที่จริงแล้วการหันหน้าไปทางกะอบะห์นั้น เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงตำแหน่งของประชาชาติของท่านนบีมุฮำหมัด (ศอลฯ) ซึ่งอัลลอฮตะอาลา ได้เลือกที่นี่ไว้ให้กับพวกเรา เพื่อเป็นศูนย์รวมแห่งการทำอิบาดะห์ ในหลายภารกิจ ไม่ว่าจะเป็นฟัรดู การละหมาด การทำฮัจย์ การทำอุมเราะห์ หรือ สุนัตต่างๆ อย่างเช่น การอ่านอัลกุรอานโดยหันหน้าไปทางกิบละห์ เป็นต้น
กะอ์บะห์ยังเป็นสิ่งที่ยืนยันถึง สาส์นอิสลามแห่งสากลจักรวาลเพราะท่านนบีมุฮำหมัด(ศอลฯ)นั้นเป็นศาสนทูตองค์สุดท้าย และศาสนาของมุฮำหมัดก็เป็นศาสนาสุดท้าย ไม่มีศาสนาใดที่เที่ยงแท้หลังจากนี้อีกแล้ว และอัลกุรอานก็เป็นคือคัมภีร์สุดท้ายที่ถูกประทานลงมาฟากฟ้า ดังนั้นกะอ์บะห์และมัสยิดอัลฮารอม จึงเป็นหนึ่งในสามของสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามของอิสลาม ที่เรามุสลิมทั้งหลายต้องช่วยกันรักษาเอาไว้
การเปลี่ยนกิบละห์นั้นเกิดขึ้นในช่วงกลางของเดือนชะอ์บาน หรือที่เราเรียกว่า นิซฟุชะอ์บาน แล้วอะไรคือสิ่งที่เหตุการณ์ณ์นี้ได้ทิ้งร่องรอยไว้ให้กับเรา?
แท้จริงพวกยาฮูดี และพวกมุนาฟิกได้ยึดเอาเรื่องนี้เป็นเครื่องมือใส่ร้ายอิสลาม และท่านนบีของเรา พวกเหล่านี้พยายามกล่าวหาว่าท่านนบีเรื่องที่ท่านนบีนั้นหันไปที่บัยตุ้ลมักดิส เป็นการลอกเลียนแบบหรือปฏิบัติตามพวกเขา แต่ท่านนบีกลับมาขัดแย้งกับศาสนาพวกเขาทั้งๆที่ท่านก็ได้ทำในสิ่งที่พวกยะฮูดียึดถือ แต่ว่า ท่านผู้ศรัทธาทั้งหลาย แท้จริงแล้วบรรดาพวกที่ฉ้อฉลเหล่านี้นั้นผิดพลาดอย่างยิ่ง อันที่จริง ศาสนาของอัลลอฮตะอาลานั้นมีเพียงศาสนาเดียวและท่านนบีมูฮำหมัด(ซอลฯ) ได้มาเพื่อยืนยัน มาพร้อมกับอัลกุรอาน ดำรัสของอัลลอฮ์ตะอาลา มาเพื่อแก้ไขในสิ่งที่พวกเขาได้สร้างความเสียหายเอาไว้ และชี้แนะพวกเขา ในสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ ในการกระทำที่โง่เขลาของพวกนั้น และนำพาพวกเขาไปสู่หนทางที่ถูกต้องเที่ยงตรง อันที่จริงการหันหน้าไปที่บัยตุลมักดิส ต่อมาก็หันไปทางบัยตุลลอฮ์นั้น มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ของพวกเขาอยู่แล้ว และพวกเขาก็รู้เรื่องดังกล่าวดี ถึงลักษณะการละหมาดของท่านนบีที่หันไปทางสองกิบละห์
الَّذِينَ آتَيْنَاهُمُ الْكِتَابَ يَعْرِفُونَهُ كَمَا يَعْرِفُونَ أَبْنَاءَهُمْ وَإِنَّ فَرِيقًا مِّنْهُمْ لَيَكْتُمُونَ الْحَقَّ وَهُمْ يَعْلَمُونَ
“บรรดาผู้ที่เราได้ให้ คัมภีร์แก่พวกเขานั้น พวกเขาย่อมรู้จักเขา(*มุฮำหมัด*) ดีเหมือนกับที่พวกเขารู้จักลูก ๆ ของเขาเอง และแท้จริงกลุ่มหนึ่งจากพวกเขานั้นปิดบังความจริง(*ปิดบังลักษณะของท่านนะบีมุฮัมมัดที่ระบุไว้คัมภีร์ของพวกเขา *) ไว้ทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้กันอยู่”
พวกมุนาฟิกและยาฮูดีเหล่านั้นกลับกล่าวว่า เราไม่รู้หรอกว่า มุฮำหมัดหันไปทางไหน หากมุฮำหมัดหันไปที่บัยตุ้ลมักดิสซึ่งเป็นทิศกิบละห์แรกนั้น ดังนั้นการที่มุฮำหมัดผินออกจากบัยตุ้ลมักดิส ก็ถือว่ามุฮำหมัดนั้นได้ละทิ้งสิ่งที่ถูกต้องไป แต่หากว่ากิบละห์ที่สอง ซึ่งก็คือกะอ์บะห์ เป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับมุฮำหมัดแล้ว ก็ถือว่ามุฮำหมัดนั้นเป็นผู้มดเท็จ ใช้ไม่ได้ นี่ก็คือเหตุผลอันไร้สาระของพวกที่กล่าวหาเรื่องที่ท่านนบีหันไปสู่กะอ์บะห์นั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
และด้วยเหตุนี้เอง อัลกุรอานจึงได้เรียกพวกเขาเหล่านี้ว่า سُفَهاء ซึ่งหมายถึง บรรดาผู้ที่โง่เขลา ซึ่งอัลกุรอานได้ตอบโต้ ในสิ่งที่พวกเขาได้ใส่ร้ายว่า

سَيَقُولُ السُّفَهَاء مِنَ النَّاسِ مَا وَلاَّهُمْ عَن قِبْلَتِهِمُ الَّتِي كَانُواْ عَلَيْهَا
“บรรดาผู้โฉดเขลาในหมู่มนุษย์นั้น(*ยาฮูดีและคริส*) จะกล่าวว่า อะไรเล่าที่ทำให้พวก(*มุสลิม*)หันออกไปจากกิบลัต(*บัยตุ้ลมักดิส*) ที่พวกมุสลิมเคยผินไป”
قُل لِّلَّهِ الْمَشْرِقُ وَالْمَغْرِبُ يَهْدِي مَن يَشَاء إِلَى صِرَاطٍ مُّسْتَقِيمٍ
“( จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าทิศตะวันออกและทิศตะวันตกนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น พระองค์จะทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ไปสู่ทางอันเที่ยงตรง”
อัลกุรอานได้บรรยายเอาไว้ ว่าพวกเขาพยายามที่จะสร้างความวุ่นวาย พวกนี้เป็นพวกที่หัวแข็ง ดื้อรั้น ไม่เคยคิดที่จะศรัทธาเลยแม้แต่น้อย
وَلَئِنْ أَتَيْتَ الَّذِينَ أُوتُواْ الْكِتَابَ بِكُلِّ آيَةٍ مَّا تَبِعُواْ قِبْلَتَكَ وَمَا أَنتَ بِتَابِعٍ قِبْلَتَهُمْ وَمَا بَعْضُهُم بِتَابِعٍ قِبْلَةَ بَعْضٍ وَلَئِنِ اتَّبَعْتَ أَهْوَاءهُم مِّن بَعْدِ مَا جَاءَكَ مِنَ الْعِلْمِ إِنَّكَ إِذَاً لَّمِنَ الظَّالِمِينَ
“และแน่นอน ถ้าหากเจ้าได้นำหลักฐานทุกอย่างมาแสดงแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์พวกเขาก็ไม่ตามกิบลัตของเจ้า(*อัล-กะบ์อะฮ์*) และเจ้าก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของพวกเขา และบางกลุ่มในพวกเขาเองก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของอีกบางกลุ่ม(*ยิวและคริสเตียน ต่างก็ไม่ยอมตามกิบลัตของกันและกัน) และถ้าหากเจ้าไปปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังเจ้าแล้ว แน่นอนทันใดนั้น เจ้าก็อยู่ในหมู่ผู้อธรรม”
และด้วยเหตุนี้อัลลอฮทรงมีพระประสงค์เป็นอย่างยิ่งที่จะทดสอบบ่าวของพระองค์ เพื่อที่ว่า ใครก็ตามปฏิบัติตามแนวทางของท่านรอซู้ล(ศอลฯ) คนหนึ่งคนใดจากพวกเขานั้นจะได้กลับตัวกลับใจในที่สุด ดังในโองการที่ว่า
وَمَا جَعَلْنَا الْقِبْلَةَ الَّتِي كُنتَ عَلَيْهَا إِلاَّ لِنَعْلَمَ مَن يَتَّبِعُ الرَّسُولَ مِمَّن يَنقَلِبُ عَلَى عَقِبَيْهِ وَإِن كَانَتْ لَكَبِيرَةً إِلاَّ عَلَى الَّذِينَ هَدَى اللَّهُ وَمَا كَانَ اللَّهُ لِيُضِيعَ إِيمَانَكُمْ إِنَّ اللَّهَ بِالنَّاسِ لَرَؤُوفٌ رَّحِيمٌ
“และเรามิได้ให้มีขึ้นซึ่งกิบลัตที่เจ้าเคยผินไป นอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่าใครบ้างที่จะปฏิบัติตามร่อซูล จากผู้ที่กำลังหันสันเท้าทั้งสองของเขากลับ(*2*) และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้น เป็นเรื่องใหญ่นอกจากแก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น และใช่ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทำให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญไปก็หาไม่แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาแก่มนุษย์เสมอ”
ท่านฮาซัน อัลบาซอรีย์ ได้อธิบายอายะห์ที่ได้กล่าวไปแล้ว ว่า อัลลอฮ์ไม่ได้ให้ ท่านนบี และการผินของบรรดามุสลิมพร้อมกับท่านนบีนั้น สูญเปล่า ดังนั้นการที่มุสลิมได้ทำการการเปลี่ยนกิบละห์นี้ ก็คือการทดสอบ และผลของการทดสอบนี้ ไม่ได้กลับไปหาอัลลอฮตะอาลา แต่ว่าผลนั้นกลับไปหาบ่าวของพระองค์ ซึ่งพวกเขาจะต้องรับรู้ถึงรากฐานอันอ่อนแอในสังคมของพวกเขาในขณะนั้น เนื่องมาจากเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้ที่มีศรัทธาไม่มั่นคง เกิดความสงสัย และปฏิเสธการศรัทธาก็มี ดังนั้นความพยายามรักษา รากฐานของสังคม และทำให้สังคมนั้นเข้มแข็ง จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการเชื่อฟังคำสั่งของท่านนบีนั่นเอง
ศรัทธาชนที่เคารพ
การเปลี่ยนกิบละห์ เกิดขึ้นก่อนที่จะเกิดสมรภูมิบาดัร กุบรอ ประมาณหนึ่งเดือนกว่าๆ กระทั่งท่านรอซู้ล(ซอลฯ)ได้เข้าสู่สนามรบพร้อมกับบรรดาซอฮาบะห์ผู้ที่มีความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮตะอาลา และพร้อมที่จะปฏิบัติตามท่านรอซู้ล พวกเขาเหล่านี้ได้ทำให้ศาสนาของอัลลอฮ์ แข็งแรง โดยการสนับสนุนของท่านรอซู้ล อัลลอฮ์จึงทำให้พวกเขาอยู่อย่างมั่นคงบนแผ่นดินของพระองค์
พี่น้องมุสลิมที่เคารพ ท่านทั้งหลายจงยำเกรงต่ออัลลอฮ ตะอาลา จงขออภัยโทษต่อพระองค์เถิด และจงทำจิตใจของพวกท่านให้สะอาดปราศจากความริษยาต่อกัน จงออกห่างสิ่งต้องห้ามทั้งหลาย และจงปฏิบัติตามนบีของพวกท่านเถิด ท่านทั้งหลายทราบหรือเปล่าว่าท่านนบีของเรานั้น ทำการถือศีลอดในเดือนชะอ์บานนี้เป็นส่วนใหญ่ จากท่านหญิงอาอิชะห์ รอดิยัลลอฮุอันฮา ท่านกล่าวว่า ท่านไม่เห็นว่ามีเดือนใดท่านนบีจะทำการถือศีลอดครบเดือนเลย นอกจากเดือนรอมาฎอน และนอกจากรอมาฎอนแล้ว ท่านก็ไม่เคยเห็นเดือนไหนที่ท่านนบีถือศีลอด มากเท่ากับเดือนชะอ์บาน
ดังนั้นชะอ์บาน คือเดือนที่เหมาะอย่างยิ่งที่จะทำอิบาดะห์ให้มาก ทั้งขอดุอาอ์ กล่าว อิซติฆฟาร ขออภัยโทษต่อบาป และสนับสนุนให้ทำการถือศีลอดเป็นประจำ คือ ถือศีลอดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับ รอมาฎอนที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้
วันและเดือนต่างๆ จะมีความประเสริฐได้นั้น ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ต่างๆในประวัติศาสตร์ที่อุบัติขึ้น โดยที่มันได้ทิ้งร่องรอยอันน่าประทับใจ และน่าจดจำหลายๆอย่าง และจากเรื่องราวที่ได้เล่ามานี้ เดือนชะอ์บานจึงเป็นเดือนอีกเดือนหนึ่งจากเดือนอันประเสริฐหลายๆเดือน ที่มุสลิมเราทั้งหลายจะได้ร่วมกัน ปฏิบัตตามซุนนะห์ของท่านรอซู้ล ด้วยการพูดจากันด้วยคำพูดที่ดี การพากเพียรที่จะถือศีลอด และการทำอามัลอิบาดะห์อื่นๆตามแบบฉบับของท่านนบีมุฮำหมัด(ซอลฯ) ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และมุ่งหวังที่จะให้อัลลอฮตะอาลานั้น รับการเตาบะห์และอภัยโทษต่อความผิดที่ได้กระทำมา