วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 04, 2550


ศรัทธาชนที่เคารพ

ท่านทั้งหลายจงยำเกรงต่ออัลลอฮ จบปฏิบัติตามคำสั่งที่พระองค์ทรงใช้และออกห่างจากสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งห้าม ท่านนบีมุฮำหมัดซอลฯ ได้มาพร้อมกับศาสนาอิสลาม ศาสนาแห่งความจริงที่ประมวลเอากฏข้อบังคับ คำสั่งเสีย คำสั่งใช้ คำชี้แนะต่างๆรวมเข้าด้วยกัน แท้จริงเป้าหมายของอิสลามประการหนึ่ง คือการสร้างสังคมที่สะอาด โดยมีจรรยามารยาทเป็นพื้นฐาน มีความบิรสุทธิ์สะอาดเป็นอุปนิสัย มีความมิดชิดเป็นเครื่องหมาย มีความสงบเสงี่ยมเป็นอาภรณ์ สังคมของอิสลามเป็นสังคมที่ไม่มีการปลุกตัณหาราคะ ไม่มีการกระตุ้นให้เกิดความวุ่นวายอลหม่าน มีการปิดกั้นสื่อที่จะทำให้เกิดการยั่วเย้า อิสลามได้ให้ข้อชี้แนะต่างๆที่ชัดเจน ในเรื่องการสร้างสังคมที่สะอาด โดยให้ความสำคัญกับผู้ศรัทธาที่เป็นสตรีโดยเฉพาะ
ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของสตรีผู้ศรัทธานั้น เกิดขึ้นมาจากศาสนาของนาง มันปรากฏโดดเด่นออกมาด้วยความประพฤติของตัวเธอเอง การที่ถูกปลูกฝังในเรื่องของการสวมใส่เสื้อผ้า การปกปิด ความมิดชิด หลีกเลี่ยงการที่จะนำตัวเองไปสู่ความหายนะและอันตราย
คำว่าฮิญาบนั้น ถูกบัญญัติมาเพื่อที่จะรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้ เพื่อปกป้องตัวของสตรีให้พ้นจากการจ้องมองของสายที่ไม่มีเจตนาอันบริสุทธิ์
ข้อกำหนดต่างๆของฮิญาบในคัมภีร์อัลกุรอาน และซุนนะห์ของท่านรอซู้ลซอลฯ มีความชัดเจนในการเรียกร้องเชิญชวนให้ประพฤติตาม โดยไม่ได้จำกัดอยู่ในยุคใดยุคหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง
يَا أَيُّهَا النَّبِيُّ قُل لِّأَزْوَاجِكَ وَبَنَاتِكَ وَنِسَاء الْمُؤْمِنِينَ يُدْنِينَ عَلَيْهِنَّ مِن جَلَابِيبِهِنَّ ذَلِكَ أَدْنَى أَن يُعْرَفْنَ فَلَا يُؤْذَيْنَ وَكَانَ اللَّهُ غَفُورًا رَّحِيمًا
โอ้นบีเอ๋ย ! จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่น เป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน ไม่ถูกรังแก และอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ
ในอายะห์นี้กล่าวถึง อัลญิลบาบ ก็คือ ทุกสิ่งที่ปกปิดจากส่วนสูงสุดของศรีษะ ไปจรดส่วนต่ำสุดของเท้า จากเสื้อคลุม และทุกสิ่งที่สตรีเอามาห่มบนอกและผ้าคลุมศรีษะของนาง เรียกว่าญิลบ้าบ.
การนำเอาเสื้อลงมาคลุมทั่วทุกส่วนของร่างกายของนาง รวมถึงใบหน้าของนางด้วย ในตัฟซีรของ อิบนุอับบาส รอดิยัลลอฮฯ มีว่าญิลบ้าล ก็คือการปิดใบหน้าโดยเริ่มจากศรีษะของนางโดยจะไม่มีอะไรปรากฏให้เห็นนอกจากตาเท่านั้น
สิ่งที่บรรดา อุมมุ้ลมุสลิมีน ภรรยาของท่านนบีมุฮำหมัดซอลฯ ถูกใช้ให้กระทำนั้น บรรดาภรรยาของผูศรัทธาทั้งหลายก็ถูกใช้ให้กระทำด้วยทุกคน


يَا نِسَاء النَّبِيِّ لَسْتُنَّ كَأَحَدٍ مِّنَ النِّسَاء إِنِ اتَّقَيْتُنَّ فَلَا تَخْضَعْنَ بِالْقَوْلِ فَيَطْمَعَ الَّذِي فِي قَلْبِهِ مَرَضٌ وَقُلْنَ قَوْلًا مَّعْرُوفًا وَقَرْنَ فِي بُيُوتِكُنَّ وَلَا تَبَرَّجْنَ تَبَرُّجَ الْجَاهِلِيَّةِ الْأُولَى

โอ้ บรรดาภริยาของนบีเอ๋ย! พวกเธอไม่เหมือนกับสตรีใด ๆ ในเหล่าสตรีอื่นหากพวกเธอยำเกรง (อัลลอฮ์) ก็ไม่ควรพูดจาเพราะพริ้งนัก เพราะจะทำให้ผู้ที่ในหัวใจของเขามีโรคเกิดความต้องการ แต่จงพูดด้วยถ้อยคำที่พอเหมาะพอควร และจงอยู่ในบ้านเรือนของพวกเธอและอย่าได้โออวดความงาม (ของพวกเธอ) เช่น การเปิดเนื้อเปิดตัวของคนในยุคดึกดำบรรพ์ที่หลงผิดในสมัยก่อน


อัลลอฮ์ตะอาลาทรงห้าม ไม่ให้สตรีพูดจาออดอ้อน และเปิดเนื้อเปิดตัวเหมือนคนยุคที่มีความเขลาอย่างเช่นในสมัยญาฮิลียะห์ ทรงใช้ให้มีการพูดจาดีและการอยู่กับบ้าน.
ภรรยาของบรรดามุอ์มิน ในเรื่องนี้ก็เหมือนกับภรรยาของท่านนบีซอลฯ ในคำดำรัสของพระองค์ที่ว่า


لَسْتُنَّ كَأَحَدٍ مِّنَ النِّسَاء

พวกเธอไม่เหมือนกับสตรีใด ๆ พระองค์ทรงย้ำสำหรับเรื่องนี้ ก็เนื่องจากว่า บรรดาภรรยาท่านนบีนั้นเป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่างที่บรรดามุสลิมะห์นั้นจะต้องปฏิบัติ และเจริญรอยตามภรรยาท่านนบี

ท่านพี่น้องศรัทธาชนทั้งหลาย
โลกมุสลิมของเราทุกวันนี้ มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ละยุค แต่ละสมัย เราจำเป็นต้องกำชับตักเตือนในสิ่งที่ดี และห้ามปรามจากความชั่ว แน่นอนยิ่ง จะไม่มีการพัฒนาสำหรับสังคมใดบนหน้าแผ่นดินนี้ หากทุกๆคนไม่มีความรู้สึกรับผิดชอบต่อเพื่อนมนุษย์อื่นและจำเป็นต้องใส่ใจ ถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ห้ามปรามใว้โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดามุสลีมะห์ทั้งหลายให้จงรักษาเอารัต (ร่างกาย) ของพวกเธอ ให้ห่างไกลจากฟิตนะห์ (การหลงผิด) ของบุคคลอื่นที่อาจจะนำมาซึ่งความผิด ดังนั้นการคลุมฮิญาบการปกปิดร่างกายของบรรดามุสลิมะห์ เป็นสิ่งจำเป็นที่สุด
ในการดำเนินชีวิตสิ่งต่างๆที่รายล้อม รอบตัวเรา ความเจริญในด้านวัตถุ หรือแฟชั่นที่นับวันกำลังทวีความรุนแรงอย่างยิ่งในหมู่วัยรุ่นหากพวกเธอทั้งหลายขาดความศรัทธา แต่จะว่าไปแล้ว มุสลีมะห์ที่เข้าใจต่อการคลุมฮิญาบในยุคนี้นั้น มีมากกว่าสมัยก่อนในประเทศไทยของเรา นั่นก็เป็นสิ่งที่ดี ต่อการตื่นตัวของบรรดามุสลีมะห์ทั้งหลายที่ต่างกลัวถึงผลกระทบหรือบทลงโทษ ในบทบัญญัติของอิสลาม แต่การคลุมฮิญาบนั้นใช่ว่าจะคลุมความดีให้กับตัวเธอทั้งหมด แต่นั้นเป็นการปฎิบัติตนให้ห่างไกลจากสิ่งที่จะมาเกิดกับตัวเธอ นั่นคือฟิตนะห์ จากชายอื่น และที่สำคัญก็คือปฎิบัติตนตามคำลั่งใช้จากองค์อัลลอห์(ซ.บ) แต่เป็นที่น่าเสียใจและเสียดายกับวิถีชีวิตของการคลุมฮิญาบในสมัยนี้นั้น เป็นเพียงการแต่งกายประจำศาสนาอิสลามไปเสียแล้ว สำหรับบุคคลบางคนที่การคลุมฮิญาบของเธอไม่มีผลอันใดต่อภาคผลความดีของเธอเลย บางครั้งเราก็ได้เห็นคนคลุมฮิญาบยืนอยู่ติดขอบเวทีคอนเสริต บางครั้งก็เห็นคนคลุมศรีษะแต่ใส่เสื้อแขนสั้นโชวแขน หรือคลุมศรีษะแต่แหวกหูออกมาเพื่อโชว์ต่างหู บางคนคลุมหัวดีแต่ตั้งวงนินทากัน ใส่ร้ายป้ายสีกันต่างๆนาๆ บางคนเที่ยวเตร่ นั่งกินอาหารที่ไม่ฮาล้าล ปากบอกว่าฉันคลุมฮิญาบแต่ผลของการกระทำ มันขัดต่อหลักปฏิบัติของตัวเธอ , บางคนไม่ให้ความสำคัญต่อการคลุมฮิญาบเพราะดูเป็นเรื่องที่น่าอาย, คลุมแล้วกลัวเขาจะไม่รับเข้าทำงานบ้าง , กลัวเชยบ้าง ,หรืออ้างว่าร้อน ผู้หญิงมุสลิมเราบางคนบอกว่าศาสนาอยู่ที่ใจ ไม่ต้องคลุมศรีษะก็ได้ ชั้นละหมาด ชั้นบวด แต่ชั้นแค่ไม่คลุมหัวมันผิดด้วยหรือ? ผมเคยได้อ่านบทสัมภาษณ์ของมุสลิมะห์คนหนึ่งในหนังสือพิมพ์ เธอคนนั้นให้สัมภาษณ์ว่าที่ไม่ได้คลุมศรีษะก็เพราะฮิญาบนั้นอยู่ที่ใจไม่ต้องแสดงออกมาทางการกระทำก็ได้ คำพูดนี้ฟังดูดีสำหรับคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่ใช่มุสลิม ผู้หญิงคนนี้อาจจะถูกยกย่องว่าเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง เป็นคนกล้าที่จะแสดงความแตกต่าง กล้าที่จะแสดงจุดยืนอันชัดเจนของตัวเอง แต่ในความเป็นจริง สำหรับเธอคนนี้ฮิญาบคงอยู่ที่ใจของเธอจริงๆเพราะมันได้ปกปิดใจของเธอจากแสงสว่าง ปิดกั้นใจในการที่จะเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าเสียแล้วนะอูซุบิลลาห์

ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับฮิญาบเสียใหม่ โดยบอกกล่าวกับผู้เป็นภรรยาและลูกสาวของท่านถึงความหมายของฮิญาบที่แท้จริง การปกปิดเอาเราะห์ของตนเองต้องทำอย่างไร การพูดจากับคนที่ไม่ใช่มะห์รอมต้องพูดแบบใด การปฏิบัติตัวเมื่ออยู่นอกบ้านต้องทำอย่างไร ในซูเราะห์อันนูร อัลลอฮตะอาลาได้บัญชาแก่ท่านนบีว่า


وَقُل لِّلْمُؤْمِنَاتِ يَغْضُضْنَ مِنْ أَبْصَارِهِنَّ وَيَحْفَظْنَ فُرُوجَهُنَّ وَلَا يُبْدِينَ زِينَتَهُنَّ إِلَّا مَا ظَهَرَ مِنْهَا وَلْيَضْرِبْنَ بِخُمُرِهِنَّ عَلَى جُيُوبِهِنَّ وَلَا يُبْدِينَ زِينَتَهُنَّ إِلَّا لِبُعُولَتِهِنَّ أَوْ آبَائِهِنَّ أَوْ آبَاء بُعُولَتِهِنَّ

และจงกล่าวแก่บรรดาผู้ศรัทธาหญิง ให้พวกนางลดสายตาของพวกนาง จงรักษาอวัยวะเพศของพวกนาง ไม่แสดงสิ่งที่ตกแต่งของพวกนาง นอกจากสิ่งที่อยู่ภายนอกเท่านั้น ให้พวกนางดึงเอาผ้าคลุมของพวกนางลงมาปิดคอเสื้อของพวกนาง และไม่แสดงสิ่งที่ตกแต่งของพวกนาง นอกจากแก่สามีของพวกนาง พ่อของพวกนาง หรือพ่อของสามีพวกนาง...

สำหรับคำพูดของมุสลิมะห์ต่อเพศตรงข้ามที่ไม่ใช่สามีหรือมะห์รอมจะต้องไม่อ่อนหวาน และไม่แข็งกระด้างจนหยาบคาย ควรพูดแต่พอดีด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ


وَقُلْنَ قَوْلًا مَّعْرُوفًا

พวกนางจงพูดจาแต่พอดี

เพราะเสียงก็คือเอาเราะห์ของนางด้วยเช่นกัน
บรรดามุสลิมะห์ทั้งหลาย ถ้าเธอได้รู้ถึงบทลงโทษที่สุดแสนจะสาหัสในวันกิยามะห์แล้วเธอจะต้องมีความสะพรึงกลัวที่สุดเท่าที่เธอเคยพบมาบนโลกใบนี้
ท่านอาลี (ร.ด) ได้กล่าวไว้ว่า : (( ฉันได้เข้าไปในบ้านของท่านนบีมูฮำหมัด (ซ.ล) พร้อมกับ ฟาตีมะห์ และฉันก็เห็นท่านนบีกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น หลังจากนั้นฉันก็พูดว่า อะไรหรือที่ทำให้ท่านร้องไห้ ?
ท่านร่อซู้ล(ซ.ล)จึงตอบว่า .......โอ้อาลี ! เมื่อฉันถูกยกขึ้นไปสู่ฟากฟ้าฉันเห็นบรรดาผู้หญิงจากประชาชาติของฉันถูกลงโทษในไฟนรกด้วยกับโทษทัณฑ์ต่างๆ ดังนั้นฉันจึงร้องไห้เพราะโทษทัณฑ์ของพวกนางหนักมาก คือฉันเห็นผู้หญิงที่ถูกแขวนด้วยเส้นผมจนกระทั่งสมองของนางปลิ้นออกมา และฉันเห็นผู้หญิงที่ถูกแขวนลิ้นในขณะเดียวกันน้ำร้อนก็ถูกเทลงไปในลำคอของนาง และฉันเห็นผู้หญิงที่ถูกแขวนเท้าทั้งสองข้าง หน้าอกทั้งสองของเธอและถูกแขวนมือทั้ง2ข้างและศรีษะ จากนั้นอัลลอห์ก็สั่งให้งูและตะขาบมากัดนาง และฉันเห็นผู้หญิงที่มีหัวเป็นหมู และมีร่างกายเป็นลา และนางจะถูกลงโทษนาๆชนิด และฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีรูปร่างเป็นสุนัขและมีไฟเข้าไปในปากของนางและออกมาจากก้น ในขณะเดียวกันมาลาอีกัตก็ตีศรีษะของนางด้วยกับไม้ท่อนใหญ่จากนรก
หลังจากนั้นพระนางฟาตีมะห์อัซซะเราะห์ (ร.ด) ได้ยืนขึ้นและกล่าวว่า : (( โอ้ที่รักของฉัน และแก้วตาของฉัน พวกเขาได้ทำผิดอะไรหรือ ? พวกเขาจึงถูกลงโทษเช่นนั้น ? ดังนั้นท่านนบีจึงกล่าว : “ โอ้ลูกรักของฉัน ผู้หญิงที่เส้นผมถูกแขวนเพราะนางไม่ปกปิดเอาเราะห์ จากการมองของผู้ชายอื่นที่ไม่ใช่มะห์รอม ส่วนผู้หญิงที่ถูกแขวนลิ้นนั้นเพราะนางสร้างความเจ็บใจให้แก่สามีของนาง ผู้หญิงที่ถูกแขวนหน้าอกทั้งสองข้างของนางก็เพราะว่านาง ได้ชักชวนชายอื่นให้มานอนกับนาง และผู้หญิงที่ถูกแขวนเท้าทั้งสองข้างและมือทั้งสองข้างจนกระทั่งถึงกระหม่อม และอัลลอห์ก็สั่งให้งูและตะขาบมากัดหล่อน เพราะว่านางไม่ยอมอาบน้ำ ญานาบะห์ และ เฮด เพราะนางเจตนาทิ้งละหมาด ส่วนผู้หญิงที่มีหัวเป็นหมูและมีร่างกายเป็นลา เพราะว่านางเป็นคนช่างฟ้องและโกหก และผู้หญิงที่มีรูปร่างเป็นสุนัขและมีไฟเข้าไปในปากและออกมาทางก้นของนาง ก็เพราะว่านางชอบนินทา และชอบอิจฉาริษยา และท่านนบีได้กล่าวแก่ลูกของท่านว่าโอ้ลูกของฉัน !ช่างโชคร้ายเหลือเกิน สำหรับผู้หญิงที่ไม่ตออัต(ภักดี) ต่อสามีนาง”
ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาที่เคารพ

คำเตือนจากท่านนบีมูฮำหมัด(ซ.ล)เป็นฮิกมะห์และเป็นอุทาหรณ์ต่อบรรดามุสลีมีนและมุสลีมะห์ทุกๆท่านในการช่วยกันตักเตือนกับผู้ที่ยังไม่รู้ถึงบทลงโทษอันรุนแรงยิ่ง กับความน่าสะพรึงกลัวที่สุด แม้ขนาดท่านนบีมูฮำหมัด(ซ.ล) เมื่อท่านได้ไปพบเห็น ท่านถึงกับร่ำไห้ถึงการลงโทษที่แสนสาหัสยิ่ง และท่านนบีได้บอกอีกว่าผู้หญิงอยู่ในนรกมากกว่าผู้ชาย ดังนั้นผู้เป็นสามีหรือผู้ปกครองอาจเป็นส่วนหนึ่งจากไฟนรกได้เช่นกัน หากพวกเขาไม่ตักเตือนและสั่งสอนภรรยาและบุตรหลานของพวกเขาให้รอดพ้นจากการลงโทษอันรุนแรงและสาหัสในนรก


أقول قولى هذا واستغفرالله العظيم لى ولكم من كل ذنب فاستغفروه إنه هوالغفورالرحيم

วันเสาร์, กันยายน 15, 2550



ศรัทธาชนที่เคารพ ท่านทั้งหลายจงยำเกรงต่ออัลลอฮ จบปฏิบัติตามคำสั่งที่พระองค์ทรงใช้และออกห่างจากสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งห้าม ขณะนี้เราท่านทั้งหลายได้เข้าสู่รอมดอนเดือนอันมีเกียรติที่สุดเดือนหนึ่ง จากอัลกุรอานที่ว่า
شَهْرُ رَمَضَانَ الَّذِيَ أُنزِلَ فِيهِ الْقُرْآنُ هُدًى لِّلنَّاسِ وَبَيِّنَاتٍ مِّنَ الْهُدَى وَالْفُرْقَانِ فَمَن شَهِدَ مِنكُمُ الشَّهْرَ فَلْيَصُمْهُ
เดือนรอมดอนนั้น เป็นเดือนที่ อัลกุรอาน ได้ถูกประทานลงมาในฐานะเป็นข้อแนะนำสำหรับ มนุษย์ และเป็นหลักฐานอันชัดเจนเกี่ยวกับข้อ แนะนำนั้น และเกี่ยวกับสิ่งที่จำแนกระหว่าง ความจริงกับความเท็จ ดังนั้นผู้ใดในหมู่พวกเจ้า เข้าอยู่ในเดือนนั้นแล้ว ก็จงถือศีลอดศรัทธาชนที่เคารพการถือศีลอดเป็นรุก่นหนึ่งจากรุก่นอิสลาม เป็นกฎเกณฑ์หนึ่งจากกฏเกณฑ์ศาสนา เป็นการอุทิศตนและเป็นการทำตนให้ใกล้ชิดกับอัลลอฮ์ตะอาลา แท้จริงพระองค์ทรงกำหนดให้มนุษย์ได้ทำการถือศีลอด และอัลกุรอานได้มีตัวบทบอกเอาไว้ว่าเดือนนี้เป็นเดือนที่มีการประทานอัลกุรอานลงมา กุรอานที่เป็นทางนำและแสงสว่างให้กับหัวใจ อัลลอฮ์ได้กำหนดการถือศีลอดเพื่อเป็นการฝึกฝนขัดเกลา มารยาทอันประเสริฐ ให้บ่าวของพระองค์เป็นผู้มีความศรัทธา เป็นผู้ที่ยำเกรง เป็นผู้ที่มีคุณธรรม และการถือศีลอดนั้นได้ทำให้รับรู้ถึงความหิวกระหาย ของผู้คนที่ไม่มีอาหารจะกิน เป็นการแชร์ เป็นการแบ่งปันความรู้สึกของคนที่มีอันจะกินกับคนยากจน ทำให้เกิดความเข้าใจกันและกันของคนในสังคมเป็นอย่างดี และเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความรักความเอื้ออาทรต่อกันศรัทธาชนที่เคารพ แท้จริงอัลลอฮได้กำหนดการถือศีลอดในเดือนที่พระองค์ประทานอัลกุรอาน ลงมา เพื่อประโยขน์อันมหาศาลแก่บ่าวของพระองค์ มีผลในดุนยาและอาคิเราะห์ กล่าวคือ การถือศีลอดจะดูแลรักษาหัวใจ ทำให้หัวใจสมบูรณ์ จิตใจของมนุษย์เรานั้น โดยธรรมชาติแล้ว มันมีความต้องการอันมากมาย ความอยากได้ในหลายๆอย่างของมนุษย์ที่ ไม่มีขอบเขตจำกัดของความต้องการ เมื่อได้สิ่งหนึ่ง ก็จะต้องการอีกสิ่งหนึ่ง เรื่อยไป จนกระทั่งความต้องการนั้นมันได้ทำให้หัวใจมนุษย์นั้นอ่อนแอ โดยเฉพาะทางด้านวัตถุที่ส่งผลบีบบังคับต่อจิตใจของมนุษย์ ดังนั้นการที่มนุษย์ได้ทำการถือศีลอด จะทำให้เขาได้รับประโยชน์ในด้านต่างๆในการที่จะปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่จิตใจของเขาเกิดความบกพร่อง และทำให้จิตใจสูงส่ง การถือศีลอดเป็นการทำให้จิตใจของมนุษย์เข้มแข็งขึ้นอัลลอฮตะอาลาดำรัสว่า
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ كُتِبَ عَلَيْكُمُ الصِّيَامُ كَمَا كُتِبَ عَلَى الَّذِينَ مِن قَبْلِكُمْ لَعَلَّكُمْ تَتَّقُونَ

บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! การถือศีลอด นั้นได้ถูกกำหนดแก่พวกเจ้าแล้ว เช่นเดียวกับที่ได้ ถูกกำหนดแก่บรรดาผู้ก่อนหน้าพวกเจ้ามาแล้ว เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ยำเกรง
ดังนั้นในเมื่อเดือนอันเป็นมงคลนี้ได้ย่างกรายเข้ามาแล้วเราจะต้องดูแลเตรียมความพร้อมเพื่อให้ทั้งร่างกายและจิตใจได้รับอานิสงค์ของเดือนนี้อย่างเต็มที่ และสำหรับการต้อนรับรอมดอนของมนุษย์นั้นมีหลากหลายแบบ บางคนก็ได้โอกาสตระเตรียมอาหารมากมายเต็มสำรับ เตรียมเครื่องดื่มราคาแพงมาดื่มหรือ หาอาหารที่ไม่เคยได้รับประธานในช่วงก่อนรอมดอนมาทานกันในตอนละศีลอด หรือบางคนใช้จ่ายเงินทองเพื่อจะซื้ออาหารมาละศีลอด หรือใช้จ่ายอย่างอื่นในช่วงรอมดอนนี้ มากกว่าเดือนอื่นๆสองเท่า นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ถูก

وكُلُواْ وَاشْرَبُواْ وَلاَ تُسْرِفُواْ إِنَّهُ لاَ يُحِبُّ الْمُسْرِفِينَ

ในอัลกุรอานบอกเอาไว้ว่า ท่านทั้งหลาย จงกิน จงดื่ม และอย่าฟุ่มเฟือย แท้จริงพระองค์ไม่ทรงโปรดบรรดาผู้ที่ฟุ่มเฟือย

จริงๆแล้ว อัลลอฮ์ตะอาลา ได้ฟัรดูการถือศีลอดมาเป็นการผ่อนคลายแก่มนุษย์ ให้กระเพาะอาหารได้พัก และดูแลจิตใจของพวกเขาให้เข้มแข็ง เป็นการฝึกความอดทน ทำให้ร่างกายของพวกเขามีสุขภาพที่ดีจากการอดอาหาร ทำให้จิตใจของพวกเขามีรัศมี ความหมายของการถือศีลอดไม่ใช่การห้ามคุณจากการกินการดื่ม ในช่วงเวลาที่มันเป็นอันตรายหรือบั่นทอนต่อร่างกาย หรือทำร้ายมัคโล๊กอย่างมนุษย์ แต่การถือศีลอดเป็นการยับยั้งจากทุกสิ่งที่เป็นความชั่วหรือมุอซิยัต ทำให้ออกห่างจากสิ่งที่ไม่ดี และทำให้คุชัวอ์ ยำเกรงต่ออัลลอฮ และนอบน้อมต่อพระองค์ ใครก็ตามที่ไม่ได้ปรับปรุงตัวเองในการถือศีลอดของเขาก็เหมือนกันเขาไม่ได้ถือศีลอด...........................พวกท่านจงทราบเถิดว่าแท้จริงอัลลอฮ ได้บันดาลเดือนรอมดอนนี้ โดยประทับตราความดีงามทั้งหลาย รายงานจากท่านอับดุลเลาะห์อิบนิอุมัร รอดิยัลลอฮ อันฮุมา แท้จริงท่านรอซู้ล(ซอลฯ)กล่าวว่า การถือศีลอดและอัลกุรอาน สองอย่างนี้จะช่วยเหลือบ่าวในวันกิยามะห์ ศรัทาชนที่เคารพ นี่คือเดือนแห่งความดี ดังนั้นพวกท่านจงปฏิบัติตัวให้อยู่ในความดี เพื่อพวกท่านจะได้รับผลบุญแห่งรอมดอนนี้ และท่านทั้งหลายจงละทิ้งสิ่งที่มันไม่ดีทั้งหลายที่มืดมัว และหันออกจากมัน ไปสู่ชีวิตที่สดใส เป็นเดือนที่ท่านนบีได้บอกเอาไว้ว่าประตูสวรรค์นั้นถูกเปิด ประตูนรกจะถูกปิด และชัยตอนจะถูกล่ามโซ่เอาไว้ ท่านทั้งหลายจงทราบเถิดว่า แท้จริงรอมดอนเป็นเดือนที่หาที่เปรียบไม่ได้ เป็นเดือนแห่งการเก็บเกี่ยวผลบุญ เป็นเดือนแห่งเกียรติยศ เป็นเดือนที่ความดีงามจะเพิ่มเป็นทวีคูณ เป็นเดือนที่ปฏิเสธความชั่วร้าย และเป็นเดือนแห่งการยกระดับความดี ท่านทั้งหลายจงถือศีลอดในตอนกลางวัน และทำอิบาดะห์ในตอนกลางคืน จงใช้เวลาอันยาวนานในการทำความดี และจงอ่านกุรอานให้มากๆ ท่านทั้งหลายจงทำความเข้าใจกับความหมายของอัลกุรอานและจงปฏิบัติตามสิ่งที่กุรอานได้บอกไว้ ท่านทั้งหลายจงทำทานแก่คนยากจน คนที่ขัดสนและต้องการความช่วยเหลือ ท่านทั้งหลายจงประพฤติตนให้เป็นผู้ที่มีจรรยามารยาทดังเช่นท่านนบีของพวกท่าน เพราะท่านนบีเป็นมนุษย์ที่ดีเลิศที่สุดศรัทธาชนที่เคารพ จงพากเพียร จงอุตสาหะ ในการตออัต ในการทำอิบาดะห์ ในการฝึกฝนจิตใจ โดยการประพฤติความดี ขัดเกลาอบรมจิตใจให้เชื่อฟังอัลลอฮ์ เพราะพวกท่านจะเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะ ท่านทั้งหลายอย่าได้หยุด หรือประวิงเวลาการปฏิบัติฟัรดูที่พระองค์ทรงใช้ เพราะ วันเวลามันได้ผ่านเราไปอย่างรวดเร็ว และมนุษย์ทุกคนจะต้องถูกไต่สวนจากสิ่งที่มือของเขาได้รับ จากบันทึกความดีความชั่วของเขา ผู้ที่มีสติปัญญาคือผู้ที่ประดับประดา วันเวลาของเขาด้วยความดีงาม เพราะในท้ายที่สุดมนุษย์นั้นจะไม่มีอะไรติดตัวเขาเลยนอกจากความดี เพราะความดีก็คือความดี ความชั่วก็คือความชั่ว

مَنْ عَمِلَ صَالِحًا فَلِنَفْسِهِ وَمَنْ أَسَاء فَعَلَيْهَا وَمَا رَبُّكَ بِظَلَّامٍ لِّلْعَبِيدِ

ผู้ใดกระทำความดีก็จะได้แก่ตัวของเขา และผู้ใดกระทำความชั่วก็จะได้แก่ตัวของเขาเอง และพระเจ้าของเจ้านั้นมิทรงอธรรมต่อปวงบ่าวของพระองค์

ท่านทั้งหลายจงยำเกรงต่ออัลลอฮ และจงฉวยโอกาสอันดีนี้ ปฏิบัติในสิ่งที่ยังประโยชน์แก่พวกท่าน เพื่ออัลลอฮ รอซู้ล และมุมินทั้งหลายจะได้มองเห็นการปฏิบัติอามัลของพวกท่าน และพวกท่านก็จะกลับไปสู่โลกแห่งความเร้นลับและโลกแห่งการยืนยัน ในสิ่งที่พวกท่านทั้งหลายได้ปฏิบัติ ขอให้ท่านทั้งหลายได้รับความเมตตาและผลบุญอันเนื่องมาจากการทำอิบาดะห์ในเดือนรอมดอนนี้

วันเสาร์, กรกฎาคม 28, 2550





สถานที่ประวัติศาสตร์ที่ปรากฎในอัลกุรอาน ซึ่งคาดว่าเป็นสถานที่จริง





ด้านใน

ด้านนอก

วันศุกร์, กรกฎาคม 13, 2550



การปลูกฝังเยาวชนมุสลิม

ในสังคมปัจจุบันนี้ที่เราอาศัยอยู่ จากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหลายๆด้าน สภาวะแวดล้อมต่างๆที่ได้เกิดขึ้นมาอย่างมากมาย ทั้งในด้านข่าวสาร กีฬา และ สิ่งบันเทิงเริงรมย์ต่างๆ ที่มันอุบัติขึ้นรอบๆตัวเราท่ามกลางยุคสมัยที่เรียกว่า โลกาภิวัฒน์ ไม่ว่าจะเป็นสถานบันเทิง ผับ ร้านเหล้า บาร์เบีย ดิสโก้เธค คาราโอเกะ ซึ่งมันมีต้นกำเนิดมาจากทางตะวันตก มาจากวัฒนธรรม และอารยธรรมที่ไม่ใช่มุสลิม เป็นของชาวตะวันตกยุโรป ยิว และชัยฏอน ที่มีเป้าหมายทำลายล้างอิสลาม และเยาวชนมุสลิม เพื่อทำให้มุสลิมออกนอกแนวทางโดยมิอาจที่จะประคับประคองเอาไว้ได้ เยาวชนมุสลิมบางคนต้องตกเป็นทาสของความเจริญด้านวัตถุ ไม่สนใจใยดีกับหลักการศาสนา วันๆเอาแต่เล่นเกมส์ ดูหนัง ฟังเพลง พูดคุยโทรศัพท์ หรือคุยเล่นกันทางอินเตอร์เนท ทำแต่เรื่องไร้สาระ การแต่งตัวก็เปิดเผยกันจนน่าเกลียด เด็กผู้ชายโตจนบรรลุนิติภาวะแล้วยังใส่กางเกงขาสั้นเดินไปเดินมา เด็กผู้หญิงพอเริ่มเข้าเรียนชั้นมัธยมก็เริ่มแต่งหน้าทาปาก หันมาแต่งตัวตามพวกกาเฟร พฤติกรรมเหล่านี้มัน สวนทางกับบทบัญญัติของอัลลอฮ เยาวชนหลายคนได้กระทำความชั่วต่างๆ อย่างไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ทำเหมือนกับเป็นเรื่องปกติ ทำจนเกิดความเคยชิน จนในที่สุดเห็นสิ่งที่ชั่วกลายเป็นสิ่งที่ดี ลักษณะอย่างนี้หรือที่เราท่านทั้งหลายปรารถนา มันเป็นหนทางนำไปสู่ความหายนะ
แต่เมื่อไรก็ตามที่เยาวชนได้เปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตของเขา หันเหมาสู่แนวทางของอิสลาม เขาก็จะได้รับความสำเร็จทั้งดุนยาและอาคิเราะห์

قال تعالى : وَأَنَّ هَـذَا صِرَاطِي مُسْتَقِيمًا فَاتَّبِعُوهُ وَلاَ تَتَّبِعُواْ السُّبُلَ فَتَفَرَّقَ بِكُمْ عَن سَبِيلِهِ
“และแท้จริงนี้คือทางของเราอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามแนวทางนี้เถิด และอย่าปฏิบัติตามแนวทางอันหลากหลาย เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์”

อิสลามคือหนทางที่เที่ยงตรง ใครยึดถือหนทางนี้เขาก็จะประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ตกเป็นเหยื่อของชัยฏอน ชีวิตของเขาก็จะมีความสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า

สำหรับเยาวชน เยาวชนก็คือ
- หัวใจของสังคม สังคมจะเคลื่อนไหวไปทางที่ดีหรือชั่วขึ้นอยู่กับเยาวชน
- เยาวชนคือความหวังของสังคมในอนาคต เพราะลูกหลานของเราในวันนี้พวกเขาคือผู้ที่สืบสานเจตนารมณ์จากเราไปสู่รุ่นลูกหลานของพวกเขา ให้มีการพัฒนาสังคมมุสลิมต่อไป ได้มีปรากฏในอัลกุรอานหลายๆ อายะห์ที่เกี่ยวกับการสืบทอดเจตนารมณ์ให้ยืนหยัดอยู่ในหลักการอิสลาม อย่างเช่นในซูเราะตุ้ลบากอเราะห์ อายะห์ 132

قال تعالى : وَوَصَّى بِهَا إِبْرَاهِيمُ بَنِيهِ وَيَعْقُوبُ يَا بَنِيَّ إِنَّ اللّهَ اصْطَفَى لَكُمُ الدِّينَ فَلاَ تَمُوتُنَّ إَلاَّ وَأَنتُم مُّسْلِمُونَ
ความว่า “อิบรอฮีมได้สั่งลูกของเขา และ ยะอ์กู๊บก็ได้สั่งบรรดาลูก ๆ ของเขาเช่นกันว่า โอ้ลูกของฉัน อัลลอฮ์ได้ทรงเลือกแนวทางแห่งชีวิตนี้สำหรับพวกเจ้าแล้ว ดังนั้น จงดำรงความเป็นมุสลิมไว้จนกว่าพวกเจ้าจะตาย”

จากอายะห์นี้ ได้ให้เราตระหนักถึงความสำคัญของเยาวชน เยาวชนในวันนี้คือพลังของสังคมในวันข้างหน้า ในฐานะเป็นกลุ่มชนที่จะต้องรับช่วงการสืบทอดเจตนารมณ์ของสังคม และจรรโลงไว้ซึ่งหลักธรรมคำสอนของอัลลอฮ ตะอาลาและท่านนบีมุฮำหมัด ศอลฯ
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ เทคโนโลยีที่ทันสมัย สังคมยุคข่าวสารที่รวดเร็วทันใจ ทำให้สังคมปัจจุบันเสื่อมโทรมลงใกล้เคียงกับยุค ญาฮิลียะห์ มากเหลือเกิน มโนธรรม คุณธรรม จริยธรรม ในปัจจุบันหายไป ด้วยเหตุนี้อิสลามจึงให้ความสำคัญกับการปลูกฝังเยาวชนมุสลิม ให้มีความตักวา ให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ เพราะการยำเกรงต่อพระองค์นั้น จะเป็นเครื่องค้ำจุนจิตใจให้ตั้งมั่นในอัลลอฮ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ขัดต่อบทบัญญัติและหลักธรรมคำสอนของอิสลาม เพราะอิสลามเรามุ่งเน้นที่จะพัฒนาจิตใจมนุษย์ ให้ขาวสะอาดผุดผ่อง ขจัดสิ่งที่เป็นเป็นจุดบอดหรือจุดดำที่เกาะกินหัวใจมนุษย์ให้หมดจด จิตใจและความยำเกรงจึงเป็นสิ่งที่จะต้องเดินควบคู่ไปด้วยกันตลอด
การปลูกฝังเยาวชนต้องเริ่มต้นด้วยกับผู้ที่เป็นพ่อแม่ ต้องเป็นตัวอย่างแก่ลูก ทำให้ลูกๆเห็นว่าสิ่งที่ดีงามนั้นปฏิบัติอย่างไร ให้เขาเห็นว่า มุมิน ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบ่าวผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ มีลักษณะอย่างไร การดำรงชีวิตประจำวันของมุมินนั้น มีอะไรบ้าง อะไรคือหน้าที่ที่มุมินต้องทำ เริ่มด้วยเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือการละหมาด ต้องใช้ให้เขาทำตั้งแต่เล็ก เจ็ดขวบเข้าชั้น ป1 ก็ต้องให้เขาละหมาดถ้าไม่ทำก็ให้ลงโทษให้ตี บอกเขาว่าละหมาดมีความสำคัญแค่ไหน พ่อแม่ต้องละหมาดให้ลูกเห็น เพื่อที่เขาจะได้ทำตามเป็นแบบอย่างเพราะเด็กต้องการเรียนรู้ในสิ่งที่ผู้ใหญ่กระทำและเขาก็จะทำตาม นอกจากนั้น เรื่องการปฏิบัติตนเป็นผู้ที่อยู่ในขอบเขตของศาสนา ยกตัวอย่าง เช่นการแต่งกาย ไม่สมควรอย่างยิ่งที่ผู้เป็นพ่อแม่จะแต่งตัวเผยเอาเราะห์ กางเกงขาสั้น ไม่ควรใส่ ผู้ชาย ถ้าใส่ก็ควรจะเลยหน้าแข้งหรือเป็นสามส่วน ให้เลยเข่าลงมา ถ้าต้องออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา อาจจะนุ่งกางเกงวอร์ม หรือขายาวที่ใช้ใส่เล่นกีฬา ส่วนผู้หญิงก็ต้องมิดชิดที่สุด ฟังดูแล้วหลายๆคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำ หรือคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ไม่น่าพูดถึง แต่ความจริงเราสามารถทำได้ การแต่งตัวนั้นถือเป็นการให้เกียรติแก่ตนเองอย่างมากโดยเฉพาะผู้หญิง เพราะป้องกันฟิตนะห์ และความชั่วที่อาจจะเกิดขึ้นกับกับตัวเรา หรือผู้ที่ได้พบเห็นและมองเราทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ดังนั้นการปกปิดก็ถือเป็นการให้เกียรติแก่ผู้อื่นด้วย
ตัวอย่างต่อมาที่อยากจะยกให้เห็น ก็คือ การพูดจา ก็ให้พูดในสิ่งที่ดีๆ การสบถ หรือใช้คำหยาบคายนั้น ไม่ใช่ลักษณะของผู้ที่มีอีหม่าน และไม่ใช่ซุนนะห์ของท่านรอซู้ล ศอลฯ ท่านได้กล่าวว่า

من كان يؤمن بالله واليوم الآخر فليقل خيرا أوليصمت
“บุคคลใดก็ตามที่เขาศรัทธาต่ออัลลอฮและวันอาคิเราะห์ เขาจงพูดจาแต่ในสิ่งที่เป็นความดี หรือมิเช่นนั้นก็ให้เงียบ หรืออย่าพูดเสียเลยดีกว่า”

การให้คำแนะนำต่อเยาวชนนั้นสำคัญมาก เนื่องจากพวกเขายังไม่สามารถแยกแยะว่าสิ่งไหนดีสิ่งใหนไม่ดี บางครั้งอาจจะเนื่อ่งมาจากสภาพแวดล้อมรอบตัว การไปโรงเรียนที่ห้อมล้อมไปด้วยสังคมกาเฟร อาจจะเกิดการลอกเลียนพฤติกรรมของคนต่างศาสนามาประพฤติปฏิบัติ ซึ่งเราต้องคอยเฝ้าดูอย่างระมัดระวัง ลูกหลานของเราควรอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นอิสลาม หากเป็นไปได้ควรส่งบุตรหลานเรียนศาสนา หรือโรงเรียนที่บูรณาการสอนควบคู่กันไประหว่างศาสนากับสามัญ ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีอยู่หลายๆแห่ง อย่างน้อยพวกเขาก็จะได้ละหมาด ได้ทานอาหารที่ฮาลาล ได้แต่งกายปกปิดเอาเราะห์ ได้รับฟังคำตักเตือน คำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ เมื่อเด็กได้รับสิ่งเหล่านี้ทุกวันๆก็จะซึมซับแต่สิ่งที่ดีๆ พวกเขาก็จะไม่ออกนอกลู่นอกทาง หรือเห็นผิดเป็นชอบ

ความยำเกรงจึงไม่ใช่ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากภายในใจเพียงอย่างเดียว แต่มันหมายถึงการแสดงออกทางด้านพฤติกรรมด้วย นั่นก็คือ ความยำเกรง และการปฏิบัติควบคู่กันไป เราจะไม่นับว่าเป็นความยำเกรงต่ออัลลอฮ ถ้าขาดหลักปฏิบัติ อัลกุรอานได้เชิดชูยกย่องกลุ่มชนที่มีความยำเกรงต่ออัลอฮ และรับประกันกลุ่มชนที่มีความยำเกรงไว้ในหลายสถานะ ในอัลกุรอาน سورة الأعراف อัลลอฮตะอาลากล่าวไว้ว่า

قال تعالى: فَمَنِ اتَّقَى وَأَصْلَحَ فَلاَ خَوْفٌ عَلَيْهِمْ وَلاَ هُمْ يَحْزَنُونَ
“ผู้ใดก็ตามที่ยำเกรงและปรับปรุงตัวเองให้ดี แน่นอน พวกเขาจะไม่พบกับความกลัวใดๆ และพวกเขาจะไม่เศร้าโศก (แต่ประการใด)”
และใน อีกหลายอายะห์ อัลลอฮตะอาลาดำรัสว่า
فَأَمَّا مَن أَعْطَى وَاتَّقَى
وَصَدَّقَ بِالْحُسْنَى
فَسَنُيَسِّرُهُ لِلْيُسْرَى

ผู้ที่ให้ และผู้ที่ยำเกรงและยอมรับในสิ่งที่ดีงาม แน่นอนเราก็จะให้เขาได้รับความสะดวกสบายในโลกหน้า

وَمَن يَتَّقِ اللَّهَ يَجْعَل لَّهُ مَخْرَجًا
“และผู้ใดยำเกรงต่ออัลลอฮ แน่นอนพระองค์จะประทานทางออกแกเขาเสมอ (ในปัญหาต่างๆ)”

وَمَن يُطِعِ اللَّهَ وَرَسُولَهُ وَيَخْشَ اللَّهَ وَيَتَّقْهِ فَأُوْلَئِكَ هُمُ الْفَائِزُونَ
“ผู้ใดภักดีต่ออัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ เขากลัวและยำเกรงต่อพระองค์ แน่นอนเขาเหล่านั้นเป็นกลุ่มชนที่ประสบชัยยนะอย่างแท้จริง”

ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้นำครอบครัวจะต้องตระหนักถึงเยาวชนที่เป็นลูกเป็นหลานอย่างที่สุด จะทำอย่างไรที่จะปลูกฝังให้พวกเขาเป็นผู้ที่อีหม่านต่ออัลลอฮ และยำเกรงต่อพระองค์ จะทำอย่างไรที่จะหล่อหลอมหลักธรรม คำสอนให้เกาะกุมหัวใจของพวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้เป็นเยาวชนที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม จริยธรรม และนำพาสังคมมุสลิมให้ไปอยู่ในแนวทางที่เที่ยงตรง มิใช่แนวทางของชัยฏอน และพวกที่หลงผิด


มุอ์มินผู้ศรัทธาทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายจงยำเกรงต่ออัลลอฮ และจงปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระองค์ และออกห่างจากสิ่งที่พระองค์สั่งห้าม และจงสั่งให้บุตรหลานของท่าน ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ และชี้นำให้พวกเขาออกห่างจากข้อห้ามของศาสนา
ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม เด็กๆส่วนใหญ่ก็จะได้อยู่กับบ้านในช่วงนี้ และช่วงนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่สำคัญไม่น้อย ที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะได้ใช้เวลาอยู่กับบุตรหลานของท่าน และจะพบว่าในช่วงปิดเทอมนั้นกิจกรรมของเด็กๆในยุคนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่เด็กๆจะไปเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์เสียส่วนใหญ่ ซึ่งนับเป็นปัญหาของผู้ปกครองหลายๆคนที่ต้องประสบกับปัญหานี้
อันตรายของเกมส์คอมพิวเตอร์ นอกจากจะทำให้เด็กนั้นไม่ตั้งใจเรียนแล้ว ยังส่งผลต่ออารมณ์ของเด็ก ท่านเคยสังเกตุบุตรหลานของท่านบ้างรึป่าวว่า มีสิ่งผิดปกติกับบุตรหลานของท่านรึไม่ อย่างเช่นแต่ก่อนเขาเป็นคนที่อ่อนโยน หรือตั้งใจเรียน หรือมีผลการเรียนที่ดี แต่ในปัจจุบันท่านกลับพบกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของบุตร เช่น เค้ากลายเป็นคนก้าวร้าว ขาดการให้เกียรติต่อพ่อแม่ พูดจาตะคอกเสียงใส่ท่าน ลูกของท่านมีผลการเรียนแย่ลง ลูกของท่านไม่ยอมละหมาดเพราะมัวแต่ติดเกมส์ ปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ท่านคิดว่ามันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร อะไรคือต้นเหตุ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหากับเด็ก ท่านคิดว่าท่านเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บุตรหลานของท่านตกอยู่ในสภาพแบบนี้หรือไม่? สาเหตุอาจเกิดจากผู้ปกครองขาดการเอาใจใส่ดูแล ปล่อยปละละเลย สมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เทคโนโลยีและสิ่งเร้าอารมณ์ความต้องการของเด็กมีมาก เทคโนโลยีสมัยนี้เป็นดาบสองคม ยกตัวอย่างเช่นคอมพิวเตอร์อินเทอร์เนต โทรศัพท์มือถือของเหล่านี้หากขาดการเอาใจใส่ดูแล เด็กก็จะใช้มันไปในทางที่ผิดๆได้ สำหรับเด็กติดเกมส์ การที่จะให้เด็กเลิกโดยเด็ดขาดนั้น คงเป็นเรื่องยากที่เด็กจะยอมรับ การจำกัดเวลา และลดปริมาณการเล่นลงนั้น คงจะช่วยได้ในระดับหนึ่ง เด็กอาจจะอ้างว่า การเล่นเกมส์นั้นเป็นการฝึกฝนสติปัญญา หรือลับสมอง แต่เกมส์ที่เราเห็นกันส่วนใหญ่ ก็เป็นเกมส์ที่มีแต่การรบราฆ่าฟัน การทำลายล้าง นั่นอาจจะส่งผลเสียต่อสภาพจิตของเด็กก็ได้ ทำให้เด็กเป็นคนอารมณ์รุนแรง และก้าวร้าว พฤติกรรมเหล่านี้ของเด็กอาจติดตัวเขาไปจนกระทั่งเขาเป็นผู้ใหญ่และอาจเกิดผลร้ายแก่ตัวเด็กและสังคมต่อไปในอนาคต ท่านจึงต้องหันมาสนใจในจุดนี้ด้วย
อัลลอฮตะอาลาได้มีดำรัสว่า
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا قُوا أَنفُسَكُمْ وَأَهْلِيكُمْ نَارًا وَقُودُهَا النَّاسُ وَالْحِجَارَةُ عَلَيْهَا مَلَائِكَةٌ غِلَاظٌ شِدَادٌ لَا يَعْصُونَ اللَّهَ مَا أَمَرَهُمْ وَيَفْعَلُونَ مَا يُؤْمَرُونَ
โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงคุ้มครองตัวของพวกเจ้าและครอบครัวของพวกเจ้าให้พ้นจากไฟนรก เพราะเชื้อเพลิงของมันคือมนุษย์และก้อนหิน มีมลาอิกะฮ์ผู้แข็งกร้าวหาญคอยเฝ้ารักษามันอยู่ พวกเขาจะไม่ฝ่าฝืนอัลลอฮ์ในสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาแก่พวกเขา และพวกเขาจะปฏิบัติตามที่ถูกบัญชา
อัลลอฮ์ใช้ให้เราปกป้องครอบครัวจากไฟนรก จากสิ่งที่เลวร้ายที่จะนำพาครอบครัว ภรรยา ลูกๆไปสู่หนทางของชัยฏอน ที่พยายามล่อลวงลูกหลานของท่านไปสุ่ความชั่ว
มีฮาดิษของท่านรอซู้ลr อยู่ฮาดิษหนึ่งว่า
أكرموا اولادكم و احسنوا أدبهم
ท่านทั้งหลายจงให้เกียรติกับบุตรหลานของท่าน และจงทำให้พวกเขามีมารยาทที่ดีงาม
มุอ์มินผู้ศรัทธาทั้งหลาย
การปลูกฝังเยาวชนให้อยู่ในหนทางอิสลามเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ท่านอย่าคิดว่าการที่ท่านให้ลูกๆได้เรียนพิเศษในช่วงปิดเทอม การที่ท่านพาลูกๆไปเที่ยว หรือการที่ท่านให้สิ่งต่างๆกับลูกเช่นซื้อของเล่นให้ลูก ซื้อคอมพิวเตอร์ให้ลูก หรือการที่ท่านให้สิ่งต่างๆที่เด็กต้องการนั้น ยังไม่ถือว่าท่านทำหน้าที่ผู้ปกครองได้สมบูรณ์ สิ่งสำคัญคือท่านต้องให้เขาได้เข้าถึงความรู้ด้านศาสนา หรือการให้เขาได้อยู่ในบรรยากาศแห่งอิสลามในช่วงปิดภาคเรียน ซึ่งในช่วงก่อนหน้านี้เด็กบางคนที่เรียนในโรงเรียนที่ไม่ใช่โรงเรียนมุสลิม อาจจะถูกแนวความคิดกาเฟรครอบงำเอาได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ดังนั้นช่วงปิดเทอมนี้ท่านต้องพยายามสร้างบรรยากาศอิสลามให้กับเด็กๆ หลายๆโรงเรียนสอนศาสนา หรือหลายๆองค์กรมุสลิมได้เปิดกิจกรรมในช่วงปิดเทอมแก่เด็ก โดยให้ผู้ปกครองนำบุตรหลานไปเข้าค่ายเยาวชนต่างๆจุดประสงค์เพื่อ ส่งเสริมการพัฒนาการของเยาวชนในด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม เพื่ออบรมความรู้ด้านศาสนาและจริยธรรมอิสลามในช่วงปิดภาคเรียน เพื่อให้เยาวชนเข้าใจในวัฒนธรรมอิสลาม โครงการแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าส่งเสริม เพราะช่วงปิดเทอมพ่อแม่บางคนไม่ได้อยู่บ้านกับลูก ต้องออกไปทำงานหรือธุระข้างนอกบ้าน ดังนั้น การเข้าค่ายเยาวชนจึงเป็นทางออกที่ดี และมันจะทำให้เด็กได้รู้จัดชีวิต รู้จักการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันผู้อื่น ให้เด็กได้ฝึกความอดทน ได้ทำกิจกรรมทางด้านศาสนา ได้ทำละหมาด ได้อ่านอัลกุรอาน ได้ทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์และเด็กๆจะได้รับการอบรมจริยธรรม นี่แหล่ะคือการสร้างบรรยากาศอิสลามให้กับเด็ก เป็นการปลูกฝังแนวความคิดที่ถูกต้องให้เกิดขึ้นกับเขา ให้เขาเข้าใจว่ามุสลิมที่เป็นมุมินผู้ศรัทธาที่แท้จริงนั้นเขาดำเนินชีวิตอย่างไร และในฐานะที่เขาเป็นเด็ก หน้าที่ของเด็กมุสลิมคืออะไร มุสลิมต้องทำอะไรบ้างในหนึ่งวัน เริ่มตั้งแต่ตื่นนอน ไปจนกระทั่งเข้านอน นอกจากการนำบุตรหลานเข้าค่ายเยาวชนแล้ว ท่านเองก็ต้องให้การสั่งสอนบุตรหลานของท่านด้วย เพราะพวกท่านต้องดูแลเขาไปจนกระทั่งเขาเติบโต ต้องคอยบอกกล่าวชี้นำพวกเขาให้อยู่ในความถูกต้อง เป็นหน้าที่ที่จะต้องทำเพราะท่านจะต้องถูกสอบสวนถึงหน้าที่ที่มีต่อบุตรหลานและผู้ที่อยู่ในความดูแลของท่าน
((كلكم راع، وكلكم مسؤول عن رعيته، الإمام راع ومسؤول عن رعيته، والرجل راع في أهله ومسؤول عن رعيته))
ท่านนบีr กล่าวว่า “ท่านทุกคนมีหน้าที่ และทุกท่านจะต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ของพวกท่าน ผู้นำก็มีหน้าที่ และต้องถูกถามถึงความรับผิดชอบของเขา และคนคนหนึ่งก็มีหน้าที่ต่อครอบครัว และต้องถูกถามถึงความรับผิดชอบต่อครอบครัวเช่นเดียวกัน”
มีตัวอย่างปรากฏในซูเราะห์ลุกมานหลายๆอายะห์ เกี่ยวกับการสั่งสอนบุตรหลานของท่านลุกมานให้ดำเนินตามครรลองของอิสลาม
يٰبُنَىَّ أَقِمِ ٱلصَّلَوٰةَ وَأْمُرْ بِٱلْمَعْرُوفِ وَٱنْهَ عَنِ ٱلْمُنْكَرِ وَٱصْبِرْ عَلَىٰ مَا أَصَابَكَ إِنَّ ذَلِكَ مِنْ عَزْمِ ٱلأمُور
โอ้ลูกเอ๋ย เจ้าจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และจงใช้กันให้กระทำความดี และจงห้ามปรามกันให้ละเว้นการทำความชั่ว และจงอดทนต่อสิ่งที่ประสบกับเจ้า แท้จริง นั่นคือส่วนหนึ่งจากกิจการที่หนักแน่น มั่นคง
وَلاَ تُصَعّرْ خَدَّكَ لِلنَّاسِ وَلاَ تَمْشِ فِى ٱلأرْضِ مَرَحًا إِنَّ ٱللَّهَ لاَ يُحِبُّ كُلَّ مُخْتَالٍ فَخُورٍ
และท่านลุกมานได้สอนบุตรของท่านอีกว่า “และเจ้าอย่าหันแก้ม (ใบหน้า) ของเจ้าให้แก่ผู้คนอย่างยะโส และอย่าเดินไปตามแผ่นดินอย่างไร้มรรยาท แท้จริง อัลลอฮ์ มิทรงชอบทุกผู้หยิ่งจองหอง และผู้คุยโวโอ้อวด”
ท่านผู้ศรัทธาทั้งหลาย
ปัจจุบันนี้รอบๆตัวของเรามีอันตรายอยู่มาก ได้แก่ 1. อันตรายที่ส่งผลต่อความคิด 2.อันตรายที่ส่งผลต่อการกระทำ และ3.อันตรายที่ส่งผลต่อคำพูด อันตรายเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นกับลูกหลานของเราได้ ยกตัวอย่างอันตรายทางความคิด เช่นการที่เด็กได้พบเห็นได้เรียนรู้จากตำราหรือจากสื่อต่างๆ ที่ทำให้เด็กคล้อยตามหรือคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องอาทิ การที่เด็กได้เรียนเกี่ยวกับทฤษีการวิวัฒนาการของมนุษย์มาจากลิง หรือปรากฏการทางธรรมชาติในโลกที่เกิดขึ้นเองตามที่ครูผู้สอนในรร.สามัญทั่วๆไปได้สอน หากปล่อยให้เด็กได้รับการปลูกฝังจากแนวความคิดพวกนี้บ่อยๆเด็กจะซึมซับและหันไปเชื่อในสิ่งที่ตนได้เรียนมาได้ หากไม่ได้รับการชี้นำที่ถูกต้องและไม่ได้รับการศึกษาด้านศาสนาแล้ว แนวความคิดที่ปฏิเสธพระเจ้า และปฏิเสธการสร้าง จะแทรกซึมมากับสิ่งเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าแบบนี้
ต่อมาอันตรายทางด้านการกระทำก็คือ การกระทำตามการเฟรตะวันตก และแนวทางการปฏิบัติที่ยิวหรือศัตรูอิสลามได้ส่งผ่านสื่อมาในรูปแบบ ของการดำเนินชีวิตเช่น การแต่งกายโดยเปิดเผยทรวดทรงของสตรีที่มีให้เห็นกันตลอดเวลา หรือมาในรูปแบบของดนตรีที่มีอิทธิพลต่อวัยรุ่นมีการสักบนผิวหนัง การเจาะหูเจาะจมูกตามนักร้องดังๆ ใส่เครื่องประดับแปลกๆ หรือแม้แต่กระทั่งกีฬาที่เราคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่นความคลั่งไคล้ในสโมสรฟุตบอลจนเกินเหตุ บางครั้งเด็กมุสลิมบางคนก็ทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ การเกทับคุยข่มกันหากทีมที่ตนเองชอบชนะทีมที่เพื่อนชอบ หรือแม้แต่การอุดหนุนสินค้าของสโมสรฟุตบอลเหล่านี้เป็นประจำ ท่านทราบหรือไม่ว่าสโมสรฟุตบอลบางแห่ง ได้นำรายได้จากการขายของที่ระลึกหรือรายได้ของสโมสรที่แฟนฟุตบอลทั้งหลายจ่ายเงินอุดหนุนกันไปนี้ ส่วนหนึ่งไปสนับสนุนกองกำลังของอิสราเอลที่ทำร้ายมุสลิมในปาเลสไตน์อยู่ทุกวัน โดยที่พี่น้องมุสลิมเราเองก็ยังคงชื่นชอบสโมสรฟุตบอลเหล่านี้อยู่ คงไม่ผิดที่จะบอกว่ายิวมันใช้เงินของเรา เพื่อทำร้ายพี่น้องของเราเอง โดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้นอยากจะบอกว่ากีฬาของมุสลิมคือการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงมีสุขภาพดี สร้างความสามัคคี มิใช่กีฬาที่ต้องหมกมุ่นอยู่กับการเอาชนะหรือคลั่งไคล้จนเกินเหตุและอาจส่งผลร้ายต่อพี่น้องมุสลิมเราเองได้
ต่อมาอันตรายที่เกิดจากคำพูดก็ได้แก่ การด่าทอ การใส่ร้าย การพูดเรื่องเท็จ สังเกตุว่าเด็กๆในละแวกบ้านของเราบางคนพูดจากันหยาบคาย และไม่ให้เกียรติกัน สาเหตุส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะเด็กจำคำพูดมาจากผู้ใหญ่ หรือได้ยินพ่อแม่พูดอยู่ทุกวัน จึงนำมาพูดบ้าง พอมาเจอเพื่อนก็เลยพูดกับเพื่อน เพื่อนก็เลยพูดตาม ผู้ปกครองบางท่านถึงกับตกใจที่ลูกพูดจาหยาบคาย ทั้งๆที่ตนเองก็ไม่เคยพูดจาเช่นนี้กับลูกหรือสอนลูกมาก่อน ดังนั้นผู้ปกครองจึงต้องช่วยกันบอกกล่าวตักเตือนบุตรหลานของท่านให้พูดจากันแต่สิ่งที่ดีๆ เพราะท่านนบีr ได้บอกว่า
من كان يؤمن بالله واليوم الآخر فليقل خيرا أو ليصمت
บุคคลใดศรัทธาต่ออัลลอฮและวันอาคิเราะห์ เขาก็จงพูดแต่สิ่งที่ดีงาม หรือไม่เช่นนั้นก็จงนิ่งเสีย
ศรัทธาชนที่อัลลอฮรักยิ่งทั้งหลาย หากท่านอยากให้บุตรหลานเป็นผู้ที่มีลักษณะ สุภาพเรียบร้อย ผมขอแนะนำให้ท่านส่งบุตรหลานของท่าน ได้เข้าฝึกฝนการท่องจำอัลกุรอาน เพราะอัลกุรอานจะขัดเกลาเขาให้อ่อนโยน หรือส่งเรียนศาสนา เพราะการทบทวนอัลกุรอานอยู่เสมอและการเรียนศาสนาเป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้บุตรหลานของท่านได้กลายเป็นคนที่ดี คนที่มีความนอบน้อม โอบอ้อมอารี มีความรับผิดชอบ หากเป็นไปได้ท่านควรส่งบุตรหลานของท่านเข้าเรียนศาสนา และสามัญควบคู่กันไป เพราะการศึกษาในปัจจุบันเปิดกว้างที่จะให้เด็กได้ศึกษาทั้งสองทางเพื่อชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไปในโลกนี้รู้เท่าทันโลกแห่งดุนยา และชีวิตที่จะต้องอยู่อย่างนิรันดร์ในโลกหน้าและรับการตอบแทนอันหอมหวาน
جَنَّـٰتُ عَدْنٍ يَدْخُلُونَهَا وَمَنْ صَلَحَ مِنْ ءابَائِهِمْ وَأَزْوٰجِهِمْ وَذُرّيَّاتِهِم ْ
สวนสวรรค์ทั้งหลายอันสถาพร พวกเขาจะเข้าไปอยู่พร้อมกับผู้ทำดีจากบรรพบุรุษของพวกเขา และคู่ครองของพวกเขา และบรรดาลูกหลานของพวกเขา และมลาอิกะฮ์จะเข้ามาหาพวกเขาจากทุกประตู (ของสวนสวรรค์)

أقول قولى هذا واستغفرالله العظيم لى ولكم ولسائرالمسلمين والمسلمات والمؤمنين والمؤمنات فاستغفروه إنه هوالغفورالرحيم


วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 20, 2550


โลกดุนยานี้มีสิ่งมีชีวิตต่างๆอาศัยอยู่มากมาย สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นมาย่อมอำนวยประโยชน์ให้แก่กันและกัน เช่นต้นไม้หรือพืชผักนั้นได้อาหารจากดินและน้ำ และสัตว์หลายๆชนิดก็ได้กินต้นไม้และพืชเป็นอาหาร สัตว์อีกหลายชนิด ก็กินสัตว์ด้วยกันเองเป็นอาหาร และมนุษย์เราก็บริโภคทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร ดังนั้นนี่คือกระบวนการตามธรรมชาติที่อัลลอฮ ตะอาลา บันดาลขึ้น เพื่อบ่าวของพระองค์
هُوَ الَّذِي خَلَقَ لَكُم مَّا فِي الأَرْضِ جَمِيعًا
พระองค์คือผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงในแผ่นดินเพื่อเป็นประโยชน์แก่พวกเจ้า
เมื่ออัลลอฮ ตะอาลา ประทานสรรพสิ่งต่างๆมาให้กับเราแล้ว เรามีหน้าที่ที่จะต้องเสาะหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ ที่เหมาะสมและถูกต้องตามบัญชาที่พระองค์ทรงกำชับแก่เราว่า
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ كُلُواْ مِن طَيِّبَاتِ مَا رَزَقْنَاكُمْ
บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย จงกินสิ่งที่ดีและสะอาดที่เราได้ประทานให้แก่พวกเจ้า
อายะห์นี้บอกไว้อย่างชัดเจนว่าให้เราเสาะหา และเลือกรับประทานแต่สิ่งที่ดี มีประโยชน์ ดังนั้นเรื่องอาหาร จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่เราจะต้องเอาใจใส่ในการบริโภค เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากินเข้าไป มันจะกลายเป็นเลือด เป็นเนื้อ เป็นเซลล์ที่เสริมสร้างอวัยวะต่างๆในร่างกายของเราให้เข้มแข็ง ให้เรามีร่างกายที่แข็งแรง เพื่ออะไร? ก็เพื่อที่จะปฏิบัติอิบาดะห์ ทำหน้าที่ของบ่าวที่ต้องปฏิบัติเพื่อพระผู้เป็นเจ้า
เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เป็นหน้าที่ของเราเช่นเดียวกันที่จะต้องเลือกสรรอาหารให้ถูกต้อง เหมาะสม และที่สำคัญ เลือกอาหารที่เป็นที่อนุมัติตามหลักการอิสลามและถูกสุขอนามัย
ในประเทศของเรา คนไทยส่วนมากเป็นคนพุทธ ฉะนั้น การที่มุสลิมจะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนต่างศาสนานั้นจำเป็นจะต้องเคร่งครัดในการรับประทานอาหารเป็นอย่างมาก ซึ่งคนต่างศาสนาส่วนใหญ่จะเข้าใจเพียงว่า มุสลิมห้ามกินหมู หรืออย่างดีก็คือรู้ว่า ห้ามกินหมูกับกินเหล้า แค่นั้น อิสลามตระหนักถึงความสะอาดเป็นสำคัญ หมู หรือสุกรนั้นเป็นสัตว์ที่สกปรกตามบัญญัติ ในซูเราะห์อัลมาอิดะห์
حُرِّمَتْ عَلَيْكُمُ الْمَيْتَةُ وَالْدَّمُ وَلَحْمُ الْخِنْزِيرِ
ได้ถูกห้ามแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งสัตว์ที่ตายเอง เลือด และเนื้อสุกร
แต่เป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่ มุสลิมเราบางคนนั้นรู้และเข้าใจเท่าๆกับคนกาเฟรรู้ ก็คือรู้แค่ว่ามุสลิมไม่กินหมู เนื่องจากความรู้ทางศาสนาอันน้อยนิดบวกกับเพื่อนฝูงที่เป็นการเฟร
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มุสลิมคนนั้นจะนั่งอยู่ในร้านก๋วยเตี๋ยวหมู หรือร้านอาหารทั่วๆไปที่ไม่ใช่ร้านมุสลิม เพียงเพราะว่าสั่งอาหารที่ไม่มีหมูมาทาน ไม่สนใจว่าภาชนะที่ใส่อาหารที่เขาทานอยู่นั้นจะเคยใส่หมูมาก่อนหรือไม่ เขาอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมูคือสิ่งสกปรก หรือเพราะความมักง่ายของเขาหากเขารู้ แต่ไม่ยอมหลีกเลี่ยง นับเป็นเรื่องน่าเศร้าเป็นอย่างยิ่ง
อัลลอฮ์ ตะอาลา ตรัสไว้ว่า
يَا أَيُّهَا النَّاسُ كُلُواْ مِمَّا فِي الأَرْضِ حَلالاً طَيِّبًا وَلاَ تَتَّبِعُواْ خُطُوَاتِ الشَّيْطَانِ إِنَّهُ لَكُمْ عَدُوٌّ مُّبِينٌ
มนุษย์ทั้งหลายพวกเจ้า จงกินสิ่งที่ได้รับอนุมัติและที่ดีจากสิ่งที่มีอยู่ในแผ่นดิน และจงอย่าปฏิบัติตามแนวทางของมารเพราะมารเป็นศัตรูที่เปิดเผยของพวกเจ้า
อายะห์นี้บอกไว้อย่างชัดเจนว่าให้เราเลือกทานแต่ของที่ฮาลาล เราจะต้องออกห่างจากสิ่งที่อัลลอฮ์ ตะอาลา สั่งห้าม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกิน การดื่ม หรือการสวมใส่เสื้อผ้าเครื่องประดับ เพราะว่าของฮารามนั้นจะนำมาซึ่งความเสียหาย
ในปัจจุบันนี้พบว่าแม่บ้านส่วนมากจะทำอาหารเพื่อรับประทานเองน้อยลง อันเนื่องมาจากสาเหตุหลายๆอย่าง เป็นต้นว่าตัวแม่บ้านเองก็ต้องออกไปทำงานนอกบ้านไม่มีเวลาเพียงพอที่จะมาประกอบอาหารให้สมาชิกภายในบ้านรับประทาน หรือบางคนก็ทำงานบ้านจนไม่มีเวลา จึง ทำให้ต้องซื้ออาหารข้างนอกมาทานเป็นประจำ ดังนั้นการเลือกซื้อจะต้องคำนึงถึงเรื่องต่างๆต่อไปนี้
-ประการแรก จะต้องพิธีพิถันในการเลือกซื้อ หากเราพบร้านอาหารอยู่ร้านหนึ่งแต่ท่านไม่แน่ใจว่าร้านนี้เป็นร้านมุสลิมหรือไม่ ก็ให้เราหลีกเลี่ยงร้านนั้นเสีย แล้วหาร้านอื่นแทน หรือหากว่าเป็นร้านมุสลิม แต่ท่านไม่แน่ใจว่าอาหารร้านนี้สะอาดหรือป่าว? หากทานไปแล้วเกรงว่าจะส่งผลเสียหรือเป็นอันตรายต่อร่างกาย ก็ให้หลีกเลี่ยงที่จะซื้อมาทาน ท่านรอซู้ลุลลอฮ ตะอาลา ได้บอกเอาไว้ว่า
(دع ما يُريبُكَ ، إلى ما لا يُرِيبُكَ )
( “ จงละทิ้งสิ่งที่ทำให้ท่านสงสัย และหันไปหาสิ่งที่ท่านไม่สงสัย”)
ดังนั้นของที่มันก้ำกึ่งหรือชุบฮัตก็สมควรที่จะเลี่ยงเสีย และถือเอาสิ่งที่เรามั่นใจดีกว่า
- ประการต่อมา จะต้องซื้อเท่าที่จำเป็น และเพียงพอต่อความต้องการ หมายถึงไม่ฟุ่มเฟือยในการซื้อ ไม่สุรุ่ยสุร่ายในการใช้จ่ายเงิน เพราะอัลลอฮI ไม่โปรดปรานผู้ที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
وَكُلُوا وَاشْرَبُوا وَلا تُسْرِفُوا إِنَّهُ لا يُحِبُّ الْمُسْرِفِينَ
พวกเจ้าทั้งหลายจงกิน จงดื่ม และอย่าสุรุ่ยสุร่าย เพราะแท้จริงพระองค์ไม่รักผู้ที่สุรุ่ยสุร่าย
-ประการที่สาม ต้องคำนึงถึงคุณค่าของอาหารที่ซื้อ นับว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะอาหาร คือยาอย่างดี ที่จะทำให้เราปราศจากโรคภัย หากเลือกรับประทานของที่มีประโยชน์
แต่ในทางตรงข้ามอาหาร ก็คือโรคร้ายหากไม่ใส่ใจในการเลือกบริโภค ปัจจุบันพบว่ามุสลิมเราเป็นโรคกันมาก เช่นโรคอ้วน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ไขมันอุตันในเส้นเลือด โรคเบาหวาน และโรคอื่นๆ สาเหตุส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการรับประทานอาหาร ดังนั้นทางที่ดี ควรรู้จักควบคุมอาหาร และหลีกเลี่ยงการรับประทานไขมันและเนื้อสัตว์ รับประทานผักผลไม้ให้มาก
ส่วนอาหารจำพวกแป้งที่ให้พลังงานมีความจำเป็นต้องทานแต่ ควรจะรับในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อให้ร่างกายได้มีแรงทำงานและประกอบศาสนกิจ
เราต้องไม่มักมากในการกิน ภาษาอาหรับใช้คำว่า الاعتدال في الطعام คือการทานอาหารแต่พอดีซึ่งความยหมายของคำนี้ก็กลับไปหาอายะห์อัลกุรอานที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ก็คือ
وَكُلُوا وَاشْرَبُوا وَلا تُسْرِفُوا
ท่านทั้งหลายจงกินจงดื่มและอย่าฟุ่มเฟือย
อายะห์นี้เรียกร้องให้เรากินและดื่มและกำชับเราไม่ให้ทำอะไรเกินขอบเขต แท้ที่จริงเรื่องของความพอเพียงนั้นเกิดขึ้นมาแล้วในยุคสมัยของท่านนบีมุฮำหมัด ซ.ล. และบรรดาซอฮาบะห์ พวกเขาได้ยึดถือเอาความพอดีเป็นพื้นฐาน ตัวอย่างของ ความพอดีนี้ก็ได้แก่ เมื่อทานอาหารแล้ว ก็ไม่ทานมากจนเกินไปเพราะอาจเกิดผลเสียต่อร่างกาย เช่น อาจเกิดกรดในกระเพาะอาหารได้ หรือ เมื่อต้องการจะถือศีลอด ก็จำเป็นที่จะต้องทานอาหารซุโฮร เพราะว่าท่านนบี ซ.ล. ไม่สนับสนุนให้ถือศีลอด โดยไม่ได้ทานอะไรเลย เพราะนั่นจะทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายเช่นเดียวกัน
หันมาดูในส่วนของผู้จำหน่ายอาหารกันบ้าง สำหรับผู้ที่ขายอาหารจะต้องมีอิคลาศ มีความบริสุทธิ์ใจในอาชีพของตนเอง ผู้ขายจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ การทำอาหารจะต้องถูกต้องทำหลักการทุกขั้นตอน ส่วนประกอบหรือวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ต้องเลือกสรรอย่างดีมีคุณภาพไม่ใช้ของที่ปนเปื้อนสารเคมีหรือวัตถุที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ผู้ขายจะต้องซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของตนเองถือว่าเป็นอะมนะห์ที่ผู้ซื้อนั้นไว้ใจในอาหารที่เราทำ เพราะผู้ซื้อเองบางครั้งก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นการปรุงอาหารทุกขั้นตอนของผู้ขายได้ ดังนั้นผู้ขายจะต้องนำสิ่งที่ดีเป็นประโยชน์มาจำหน่าย และต้องคำนึงถึงความสะอาด ทุกขั้นตอน ไม่ใช่ทำขายเพื่อหวังกำไรเพียงอย่างเดียว
การเอาใจใส่ดูแลสุขภาพนั้น เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับมุสลิม เพราะนั่นเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องรักษาสิ่งที่อัลลอฮ ตะอาลา ประทานให้ ก็คือชีวิตของเรา หากเราไม่ระวังรักษาตัวของเรา เราก็จะตกอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ ประสิทธิภาพในการทำอิบาดะห์ของเราก็จะลดลงไปด้วย
หวังว่าคุตบะห์นี้คงจะทำให้ท่านได้รับประโยชน์และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านคงจะนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อว่าทุกท่านจะได้เป็นผู้ที่พระองค์อัลลอฮ ตะอาลา รักและโปรดปราน