วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 27, 2548

อัลกุรอานชี้นำวิทยาศาสตร์
เราทราบกันดีว่า อัลกุรอานเป็นสิ่งที่ชี้นำแก่มนุษย์ผู้ที่มีความยำเกรง ผู้ที่ยำเกรงคือใคร? ผู้ที่ยำเกรงก็คือผู้ที่ปฎิบัติตามคำบัญชาใช้ของอัลลอฮ(ซบ) อย่างเคร่งครัดอยู่เสมอ และห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม จึงถือได้ว่าเป็นผู้ศรัทธาที่สมบูรณ์หากเราพิจารณาสำนวนโองการอัลกุรอานหลายๆโองการ ท่านจะพบว่ากุรอานได้จัดหมวดหมู่ในเรื่องราวที่กล่าวไว้ภายในออกเป็นหลายๆเรื่อง ยกตัอย่างเช่น หมวดที่ว่าด้วยเรื่องการศรัทธา , ว่าด้วยเรื่องการทำอิบาดะห์ , ว่าด้วยเรื่องจริยธรรม , เรื่องการประกอบธุรกิจ และ เรื่องอื่นๆ ทั้งหมดนั้นมีการกล่าวในรูปสำนวนที่เป็นกฏและมีความหมายชัดเจน แต่เมื่อเราพิจารณา โองการที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การเนรมิตโลกและจักรวาลทั้งมวลนั้น เรากลับพบรูปสำนวน วาทศิลป์ ที่สร้างความอัศจรรย์อย่างมาก ซึ่งนักวิชาการในแต่ละยุค เข้าใจและอธิบายความหมายตามความเหมาะสม กับความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ในยุคนั้นๆ และความหมายของโองการที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ก็ยังมีความกว้างขวางให้มนุษย์ได้ทดลองและพิสูจน์ในทุกๆสถานที่และทุกยุคทุกสมัย อัลลอฮ์(ซบ) ทรงชี้นำมนุษย์ทั่วสากลจักรวาล เกี่ยวกับเรื่องวิทยาศาสตร์ และมนุษย์ สามารถศึกษาค้นคว้าและพิสูจน์ได้ กระทั่งรับรุ้ได้ว่าสิ่งที่อัลลอฮ์ ตาอาลา ดำรัสไว้ในอัลกุรอานนั้นคือ สิ่งมหัศจรรย์และเป็นสิ่งชี้นำมนุษย์โองการหนึ่งในซูเราะห์ ฟุซซิลัต อายะห์ที่ 53ความว่า “ต่อไปเราจะทำให้พวกเขามองเห็นสัญลักษณ์ต่างๆของเรา ซึ่งมีอยุ่ในด้านต่างๆ(ของจักรวาล) และในตัวพวกเขาเองจนกระทั่งได้ประจักษ์ชัดแก่พวกเขาว่า แท้จริงอัลกุรอานเป็นสัจธรรม(ที่พิสูจน์ได้ในทุกสภาวะ) ยังไม่เพียงพออีกหรือที่องค์อภิบาลของเจ้าทรงเป็นสักขีพยานเหนือทุกสิ่ง”มีผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กล่าวอ้างว่า “อิสลามพยายามสอนให้อิงกับเรื่องวิทยาศาสตร์และการแพทย์” ต้องบอกเลยว่าคำพูดเช่นนี้เป็นคำพูดซึ่งออกมาจากปากผู้ที่ไม่เข้าใจอิสลาม และพยายามโจมตีอิสลามเรา มันจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรที่ว่าอิสลามพยามยามสอนให้อิงกับวิทยาศาสตร์ ในเมื่อวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์นั้นมนุษย์เพิ่งจะเข้าใจเมื่อศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมานี่เอง แต่ว่า อัลกุรอานถูกประทานลงมาจากอัลลอฮ์ ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลจักรวาลมาเป็นระยะเวลามากกว่าหนึ่งพันสี่ร้อยกว่าปีมาแล้ว โดยเฉพาะความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ ที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกอ้างว่าเป็นทฤษฏีของพวกเขาที่คิดค้นได้เองนั้น ล้วนแล้วแต่เอาความรู้ไปจากนักวิชาการมุสลิมชาวอาหรับทั้งนั้น ครั้งที่อณาจักรอิสลามเคยเจริญรุ่งเรื่องที่สุดในยุโรป แล้วพวกเขาก็อ้างว่าเป็นความคิดของตนค้นคิดขึ้นมา
อัลลอฮ (ซบ) ทรงใช้ให้เราตรึกตรอง ใช้ให้สังเกตุสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงบันดาลมันขึ้นมาว่า มีระบบและขั้นตอนอย่างไร ซึ่งรวมถึงชีวิตของเราทุกคนด้วย ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นเพราะธรรมชาติให้มันเป็นไป แต่ว่าจริงๆสรรพสิ่งทั้งหลายได้ดำเนินไปตามระบบและกฎเกณฑ์ ซึ่งอัลลอฮ ตะอาลา ทรงวางไว้ ทรงควบคุมและดูแล กระทั่งเกิดความสมดุลย์ และเหมาะสมต่อบ่าวของพระองค์ ดังโองการใน ซูเราะห์ อัล อังกะบูต อายะห์ที่ 20ความว่า "จงประกาศเถิด พวกเจ้าทั้งหลายจงดำเนินไปในผืนแผ่นดิน แล้วจงพิจารณาว่า พระองค์ทรงบังเกิดสรรพสิ่งทั้งหลายอย่างไร”โองการที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์มีมากมายเกือบหนึ่งพันโองการ ซึ่งอัลลอฮ (ซบ) ทรงแจ้งเรื่องที่อยู่นอกเหนือความสามารถของมนุษย์ ให้มนุษย์ได้รับรู้ ผมจะหยิบยกมานำเสนอบางโองการ ซึ่งบอกว่าโลกและจักรวาลทั้งมวลนั้น เกิดขึ้นด้วยการบันดาลของพระองค์อัลลอฮ(ซบ) ดังในโองการหนึ่งของซูเราะห์ อัล อะรอฟ อายะห์ที่ 54ความว่า “แท้จริง องค์อภิบาลของพวกเจ้าคืออัลลอฮ์ ซึ่งทรงบันดาลชั้นฟ้าและแผ่นดิน ในหกวัน จากนั้นพระองค์ทรงใช้อำนาจการปกครอง (สรรพสิ่ง) เหนือบัลลังก์ พระองค์ทรงให้กลางคืนครอบคลุมกลางวัน ซึ่ง กลางคืนกับกลางวัน ได้ตามติดกันอย่างรวดเร็ว และทรงสร้าง ดวงตะวัน ดวงเดือน และดวงดาว ซึ่งยอมอยู่ใต้บัญชาของพระองค์ (ให้ทุกสิ่งอำนวยประโยชน์แก่มนุษย์) ด้วยคำบัญชาของพระองค์ พึงสังวรเถิด พระองค์ทรงสิทธิ์ ในการบันดาลและบัญชา อัลลอฮ์ทรงจำเริญยิ่ง ทรงเป็นองค์อภิบาลโลกทั้งหลาย”จากโองการนี้เราได้รับรู้ว่า จักรวาลนี้มีผู้สร้าง ผู้บันดาลมันขึ้นมาและมีผุ้ดูแลควบคุมระบบทั้งหมด ดังนั้นเรามาศึกษาโองการอื่นๆ อีก ว่าโลกนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรเรามาดูในซุเราะห์ อัล อัมบิยาอ์ อายะห์ที่30ความว่า “บรรดาพวกที่ไร้ศรัทธาไม่สังเกตหรอกหรือว่า แท้จริง ฟากฟ้าและแผ่นดิน แต่เดิมผนึกเป็นชิ้นเดียวกันต่อมาเราก็จัดการแยกมันทั้งสอง (ออกจากกัน) และเราได้บันดาลทุกสิ่งที่มีชีวิตจากน้ำ แล้วไฉนเล่าพวกเขาจึงไม่ศรัทธา”จากโองการนี้เราสังเกตได้ว่า อัลลอฮ (ซบ) ได้บอกให้เราได้ทราบว่า “ฟากฟ้าและแผ่นดินเดิมนั้นผนึกเป็นชิ้นเดียวกัน” นั่นคือก่อนที่โลกเราจะมีเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาให้เห็นทุกวันนี้ แต่เดิมเริ่มด้วยการรวมตัวกันของวัตถุธาตุ และมวลสารต่างๆ รวมถึงกลุ่มก๊าซต่างๆ จนกระทั่งเกิดความหนาแน่น และทั้งหมดก็ได้ผนึกเป็นก้อน เดียวกัน และต่อจากนั้น พระองค์ดำรัสว่า “เราจัดการแยกมันทั้งสอง” นั่นคือเป็นช่วงระยะการแยกตัวของ วัตถุและกลุ่มก๊าซ จนเป็นหมอกเพลิง และได้กลายเป็นท้องฟ้าและแผ่นดินในที่สุด เมื่อวัตถุรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน จนกระทั่งเป็นพื้นดินแล้ว อัลลอฮ(ซบ) ก็ได้บันดาลปัจจัยต่างๆอย่างสมบูรณ์ให้แก่บ่าวของพระองค์ ให้อยู่ในแผ่นดิน ดังที่พระองค์ ได้แจ้งให้เราทราบในซูเราะห์ ฟุซซิลต อายะห์ที่ 10ความว่า “และใน(แผ่นดิน)นั้น พระองค์ทรงทำให้เทือกเขาตั้งมั่นอยู่บนมัน และทรงให้มีความจำเริญในนั้น และทรงกำหนดปัจจัยยังชีพของมันให้มีขึ้นในนั้น ภายในระยะเวลา 4 วัน เพื่อความเท่าเทียมสำหรับผู้ไต่ถาม (ที่จะได้รับสิ่งดังกล่าวไว้อำนวยความประโยชน์)”โลกเราเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่มีอยู่ในระบบสุริยะจักรวาล และในโลกนี้เองที่ อัลลอฮ(ซบ) ทรงบันดาลให้มีสรรพสิ่งต่างๆที่มีประโยชน์เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ในพื้นโลก ก๊าซและธาตุต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำ และออกซิเจนในอากาศ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ซึ่งจะพบได้ยากในดาวดวงอื่น และเหตุผลนี้เองดาวดวงอื่นจึงไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่นอกจากโลกใบนี้เท่านั้น หากแต่มีผู้ปฏิเสธที่หลงผิดจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าดาวดวงอื่นมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่หรือมีมนุษย์ต่างดาวผู้มีเทคโนโลยีอันทันสมัยอาศัยอยู่ ลองพิจารณาดูเถิดหากเป็นเช่นนั้นท่านคงจะเห็นมนุษย์ต่างดาวตัวเป็นๆแวะเวียนมาเที่ยวบนโลกหรือไม่ก็คงบุกเข้ามายึดโลกไปนานแล้วเหมือนกับภาพยนต์ที่ท่านทั้งหลายเคยดูมาดังนั้นหลังจากอัลลอฮ (ซบ) บันดาลให้วัตถุธาตุทั้งหลายรวมตัวกัน ต่อมาก้อได้บันดาลสรรพสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตเช่นอากาศ น้ำ และเมื่อปัจจัยต่อการดำรงค์สมบูรณ์แล้ว อัลลอฮ(ซบ) ทรงบันดาลท้องฟ้า ดังโองการในซูเราะห์ ฟุซซิลัต อายาะห์ที่11 –12ความ “ หลังจากนั้นพระองค์ทรงมุ่งสู่การบันดาลฟ้าฟ้าโดยขณะนั้นยังเป็นหมอกเพลิงอยู่ แล้วพระองค์ทรงตรัสแก่ฟ้าและแผ่นดินว่า เจ้าทั้งสองจงมาดำเนิน(ตามบัญชาของข้า)เถิด จะโดยเต็มใจหรือไม่ก็ตาม มันทั้งสองก็กล่าวว่า ข้าพระองค์ทั้งสองมาดำเนินการตามพระบัญชาอย่างเต็มใจ ดังนั้นพระองค์ทรงสร้างมันสำเร็จเป็นชั้นฟ้าทั้งเจ็ดในระยะเวลา 2 วัน และทรงกำหนดหน้าที่ของฟ้าทุกชั้น และได้ประดับท้องฟ้าแห่งโลกนี้ด้วยดวงดาวทั้งหลาย และคอยพิทักษ์ไว้ นั่นเป็นกำหนดแห่งพระผู้ทรงอำนาจยิ่ง ผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง”สังเกตว่า อัลลอฮ (ซบ) ทรงบันดาลแผ่นดินและฟากฟ้าเสร็จตามพระประสงค์ภายในระยะเวลาหกวัน นักวิทยาศาสตร์ได้วิเคราะห์แล้วว่า ระยะเวลาในวันหนึ่งกับคืนหนึ่งช่วงแรกเริ่มของการกำเนิดโลกจะมีแค่สี่ชั่วโมง เนื่องจากโลกหมุนรอบตัวเองเร็วมาก แล้วค่อยๆหมุนช้าลงเรื่อยๆ จนกระทั่งใช้เวลาหมุนรอบตัวเอง 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตของบ่าวของพระองค์ ซึ่งอัลกุรอานได้มีระบุไว้ ว่ากลางวันและกลางคืนนั้นมันตามติดกันมาอย่างรวดเร็วถึงกระนั้นนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ถึงแก่นแท้ของความเป็นจริงตามที่อัลลอฮ์ (ซบ) ทรงโองการไว้ในคัมภีร์อัลกุรอาน ว่าโลกนี้เกิดมาอย่างมีจุดเริ่มต้น มีระยะเวลา นี่คือลักษณะของสิ่งที่เกิดใหม่และมันย่อมที่จะมีจุดจบเมื่อปีคริสตศักราช 2001 ที่ผ่านมา องค์การ NASA ได้บันทึกภาพ จุดดับสูญดาวดวงหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปประมาณ หนึ่งพันปีแสง ด้วยกล้องTelescope จากภาพถ่ายจะเห็นการระเบิดของดาวดวงหนึ่งซึ่งการระเบิดของมันนั้นมีกลุ่มควันสีแดง พวยพุ่งออกมาจากจุดศูนย์กลาง และแผ่กระจายออกไปรอบๆ ลักษณะคล้ายกลับรูปดอกกุหลาบที่ผลิบานอยู่ซึ่งกลีบดอกของมันมีลักษณะเป็นมันประกายเนื่องจากความร้อนของไฟ ซึ่งปรากฏการณ์แบบนี้ มนุษย์เองก็เพิ่งจะได้เห็นเมื่อไม่นานมานี้ แต่อัลลอฮ์ (ซบ) พระองค์ดำรัสแก่มนุษย์ชาติไว้แล้วเมื่อ พันสี่ร้อยปีที่ผ่านมา ถึงสภาพหนึ่งของวันกิยามะฮ์ ในอายะห์ที่ 37 ซูเราะห์ อัรเราะห์มานความว่า "ครั้นเมื่อท้องฟ้าได้แตกกระจายออก มันจะคล้ายกับกุหลาบแดงที่มีลักษณะเป็นมัน"
จากโองการนี้ แสดงถึงอำนาจ อิลมูของอัลลอฮ์ ได้เป็นอย่างดี มนุษย์ไม่สามารถที่จะรู้เรื่องใดๆเลยนอกจากพระองค์เป็นผู้สอน และชี้นำ และมนุษย์ก็ไม่รู้ถึงวันอวสานของโลกนี้ ปัจจุบันดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ก่อนที่จะถึงวันโลกาวินาศ ดวงอาทิตย์ก็จะขึ้นทางทิศตะวันตก และอัลลอฮ์ (ซบ) ทรงแจ้งถึงเหตุการณ์วันสิ้นโลกว่า มันจะเกิดขึ้นอย่างไร ดังพระองค์ได้ดำรัสไว้ใน ซุเราะห์ อัล-อัมบิยาอ์ อายะห์ที่ 104ความว่า “ วันซึ่งเราจะม้วนชั้นฟ้าให้เหมือนกระดาษที่ใช้บันทึก ดังเช่นที่เราได้ให้การเริ่มต้นในการสร้างครั้งแรก เราก็จะกลับคืนมัน (ให้ฟื้นคืนกลับมาอีก หลังจากที่พวกเขาสูญสลายไปแล้ว) เป็นสัญญาผูกพันกับเรา แท้จริงเราเป็นผู้กระทำ(ตามสัญญาเสมอ)”เมื่อวันสิ้นโลกเกิดขึ้น ทุกอย่างที่เราเห็นอยู่นี้จะแหลกสลายกลายเป็นผุยผงกลับคืนในสภาพเดิมของมัน ดังก่อนที่จะมาเป็นโลกและระบบสุริยะจักรวาลต่างๆ ก็สิ้นสลายเช่นกัน ไม่ว่าดวงดาวต่างๆ และดวงอาทิตย์ก็ถูกม้วนให้แตกสลาย ซึ่งปัจจุบันนั้นมนุษย์ก็ได้รับรู้แล้วว่า จุดดับในดวงอาทิตย์เริ่มขยายขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือ สัญญาณบ่งบอกว่าใกล้ถึงวันกิยามะห์ เข้ามาทุกที
เราท่านทั้งหลายต่างก็รู้ดีว่า ทุกชีวิตย่อมลิ้มรสกับความตาย แล้วหวนกลับไปสู่พระองค์อัลลอฮ (ซบ) และจะถูกสอบสวนถึง อะมั้ลต่างๆ ที่เราได้กระทำบนโลกดุนยานี้ ทั้งที่เร้นลับ และเปิดเผย เราต้องตรวจสอบตัวเราเองก่อนที่วันสอบสวนจะมาถึง และในโลกหน้ามีอยู่สองสถานที่ เท่านั้น คือ นรก และ สวรรค์ เราจะเลือกพำนักอยู่ ณ ที่ใด เราสามารถเลือกได้ในวันนี้ หากว่าเราตายไป การกระทำที่ผ่านมาของเรา จะเลือกให้เราได้อยู่สวรรค์ หรือนรก ก็ขึ้นอยู่กับความดีที่เราสั่งสมมาในดุนยา และที่จะลืมเสียไม่ได้ นั่นคือการ เตาบัต ขออภัยโทษต่อพระองค์ และทำหน้าที่ผู้ศรัทธาต่อพระองค์ และศรัทธาต่อโลกหน้าให้สมบูรณ์ อย่างบริสุทธ์ใจ เราก็จะได้รับความปลอดภัย และความผาสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า อินชาอัลลลอฮ์
ดัดแปลงจากวารสาร"อัลมิฟตาฮ์"ฉบับที่ 9 ประจำปี ฮ.ศ. 1425 / พ.ศ. 2547