วันศุกร์, กันยายน 01, 2549


ศรัทธาชนทุกท่าน
อัลลอฮตะอาลา ได้ลงฟัรดูการทำละหมาด ณ ที่นครมักกะห์ และท่านรอซู้ลก็ได้ทำการละหมาด โดยที่หันหน้าไปทางกะอ์บะห์ แต่ต่อมา เมื่อท่านนบี ได้อพยพไปสู่นครมาดีะห์ อัลลอฮตะอาลาทรงบัญชาใช้ให้ท่านนบี ทำการละหมาดโดยหันหน้าไปทาง บัยตุ้ลมักดิส รวมระยะเวลาทั้งหมด ประมาณ 16 ถึง 17 เดือน โดยที่ ณ เวลานั้น ท่านนบีเองปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหันหน้าไปทางบัยตุ้ลลอฮ ณ มัสยิด อัลฮารอม
รายงานจากท่านบุคอรี จากท่าน บัรรออ์ บุตร ฆอริบ ได้กล่าวว่า “ขณะที่ท่านรอซู้ล(ซล.) กำลังละหมาดโดยหันไปทาง บัยตุ้ลมักดิสอยู่นั้น บ่อยครั้งที่ท่านแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า และรอคอย คำสั่งจากอัลลอฮตะอาลา และแล้ว ก็มีรับสั่งจากอัลลอฮ ตะอาลาว่า ...
قَدْ نَرَى تَقَلُّبَ وَجْهِكَ فِي السَّمَاء فَلَنُوَلِّيَنَّكَ قِبْلَةً تَرْضَاهَا فَوَلِّ وَجْهَكَ شَطْرَ الْمَسْجِدِ الْحَرَامِ وَحَيْثُ مَا كُنتُمْ فَوَلُّواْ وُجُوِهَكُمْ شَطْرَهُ وَإِنَّ الَّذِينَ أُوْتُواْ الْكِتَابَ لَيَعْلَمُونَ أَنَّهُ الْحَقُّ مِن رَّبِّهِمْ وَمَا اللّهُ بِغَافِلٍ عَمَّا يَعْمَلُونَ
“แท้จริงเราเห็นใบหน้าของเจ้าแหงนไปในฟากฟ้าบ่อยครั้ง แน่นอนเราก็จะให้เจ้าผินไปยังทิศกิบละห์ที่เจ้าพึงใจ ดังนั้นเจ้าจงผินใบหน้าของเจ้าไปทางมัสยิดิลฮะรอมเถิด และที่ใดก็ตามที่พวกเจ้าปรากฏอยู่ ก็จงผินใบหน้าของพวกเจ้าไปทางมัสยิดอัลฮารอมและแท้จริงบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์(หมายถึง ยิว และ คริสต์)นั้นย่อมรู้ดีว่ามันคือความจริงที่มาจากพระเจ้าของพวกเขา และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงเผลอในสิ่งที่พวกเขากระทำกัน”
ศรัทธาชนที่เคารพ
ในอายะห์ที่กล่าวมานี้ เป็นบัญชาจากอัลลอฮตะอาลาที่มีต่อมุสลิม ให้พวกเขานั้นหันกลับไปทางกะอ์บะห์ หลังจากที่พวกเขาได้หันหน้าไปยังบัยตุ้ลมักดิส และยึดเอาบัยตุลมักดิสเป็นกิบลัตอยู่ในเวลานั้น
อันที่จริงแล้วการหันหน้าไปทางกะอบะห์นั้น เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงตำแหน่งของประชาชาติของท่านนบีมุฮำหมัด (ศอลฯ) ซึ่งอัลลอฮตะอาลา ได้เลือกที่นี่ไว้ให้กับพวกเรา เพื่อเป็นศูนย์รวมแห่งการทำอิบาดะห์ ในหลายภารกิจ ไม่ว่าจะเป็นฟัรดู การละหมาด การทำฮัจย์ การทำอุมเราะห์ หรือ สุนัตต่างๆ อย่างเช่น การอ่านอัลกุรอานโดยหันหน้าไปทางกิบละห์ เป็นต้น
กะอ์บะห์ยังเป็นสิ่งที่ยืนยันถึง สาส์นอิสลามแห่งสากลจักรวาลเพราะท่านนบีมุฮำหมัด(ศอลฯ)นั้นเป็นศาสนทูตองค์สุดท้าย และศาสนาของมุฮำหมัดก็เป็นศาสนาสุดท้าย ไม่มีศาสนาใดที่เที่ยงแท้หลังจากนี้อีกแล้ว และอัลกุรอานก็เป็นคือคัมภีร์สุดท้ายที่ถูกประทานลงมาฟากฟ้า ดังนั้นกะอ์บะห์และมัสยิดอัลฮารอม จึงเป็นหนึ่งในสามของสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามของอิสลาม ที่เรามุสลิมทั้งหลายต้องช่วยกันรักษาเอาไว้
การเปลี่ยนกิบละห์นั้นเกิดขึ้นในช่วงกลางของเดือนชะอ์บาน หรือที่เราเรียกว่า นิซฟุชะอ์บาน แล้วอะไรคือสิ่งที่เหตุการณ์ณ์นี้ได้ทิ้งร่องรอยไว้ให้กับเรา?
แท้จริงพวกยาฮูดี และพวกมุนาฟิกได้ยึดเอาเรื่องนี้เป็นเครื่องมือใส่ร้ายอิสลาม และท่านนบีของเรา พวกเหล่านี้พยายามกล่าวหาว่าท่านนบีเรื่องที่ท่านนบีนั้นหันไปที่บัยตุ้ลมักดิส เป็นการลอกเลียนแบบหรือปฏิบัติตามพวกเขา แต่ท่านนบีกลับมาขัดแย้งกับศาสนาพวกเขาทั้งๆที่ท่านก็ได้ทำในสิ่งที่พวกยะฮูดียึดถือ แต่ว่า ท่านผู้ศรัทธาทั้งหลาย แท้จริงแล้วบรรดาพวกที่ฉ้อฉลเหล่านี้นั้นผิดพลาดอย่างยิ่ง อันที่จริง ศาสนาของอัลลอฮตะอาลานั้นมีเพียงศาสนาเดียวและท่านนบีมูฮำหมัด(ซอลฯ) ได้มาเพื่อยืนยัน มาพร้อมกับอัลกุรอาน ดำรัสของอัลลอฮ์ตะอาลา มาเพื่อแก้ไขในสิ่งที่พวกเขาได้สร้างความเสียหายเอาไว้ และชี้แนะพวกเขา ในสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ ในการกระทำที่โง่เขลาของพวกนั้น และนำพาพวกเขาไปสู่หนทางที่ถูกต้องเที่ยงตรง อันที่จริงการหันหน้าไปที่บัยตุลมักดิส ต่อมาก็หันไปทางบัยตุลลอฮ์นั้น มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ของพวกเขาอยู่แล้ว และพวกเขาก็รู้เรื่องดังกล่าวดี ถึงลักษณะการละหมาดของท่านนบีที่หันไปทางสองกิบละห์
الَّذِينَ آتَيْنَاهُمُ الْكِتَابَ يَعْرِفُونَهُ كَمَا يَعْرِفُونَ أَبْنَاءَهُمْ وَإِنَّ فَرِيقًا مِّنْهُمْ لَيَكْتُمُونَ الْحَقَّ وَهُمْ يَعْلَمُونَ
“บรรดาผู้ที่เราได้ให้ คัมภีร์แก่พวกเขานั้น พวกเขาย่อมรู้จักเขา(*มุฮำหมัด*) ดีเหมือนกับที่พวกเขารู้จักลูก ๆ ของเขาเอง และแท้จริงกลุ่มหนึ่งจากพวกเขานั้นปิดบังความจริง(*ปิดบังลักษณะของท่านนะบีมุฮัมมัดที่ระบุไว้คัมภีร์ของพวกเขา *) ไว้ทั้ง ๆ ที่พวกเขารู้กันอยู่”
พวกมุนาฟิกและยาฮูดีเหล่านั้นกลับกล่าวว่า เราไม่รู้หรอกว่า มุฮำหมัดหันไปทางไหน หากมุฮำหมัดหันไปที่บัยตุ้ลมักดิสซึ่งเป็นทิศกิบละห์แรกนั้น ดังนั้นการที่มุฮำหมัดผินออกจากบัยตุ้ลมักดิส ก็ถือว่ามุฮำหมัดนั้นได้ละทิ้งสิ่งที่ถูกต้องไป แต่หากว่ากิบละห์ที่สอง ซึ่งก็คือกะอ์บะห์ เป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับมุฮำหมัดแล้ว ก็ถือว่ามุฮำหมัดนั้นเป็นผู้มดเท็จ ใช้ไม่ได้ นี่ก็คือเหตุผลอันไร้สาระของพวกที่กล่าวหาเรื่องที่ท่านนบีหันไปสู่กะอ์บะห์นั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
และด้วยเหตุนี้เอง อัลกุรอานจึงได้เรียกพวกเขาเหล่านี้ว่า سُفَهاء ซึ่งหมายถึง บรรดาผู้ที่โง่เขลา ซึ่งอัลกุรอานได้ตอบโต้ ในสิ่งที่พวกเขาได้ใส่ร้ายว่า

سَيَقُولُ السُّفَهَاء مِنَ النَّاسِ مَا وَلاَّهُمْ عَن قِبْلَتِهِمُ الَّتِي كَانُواْ عَلَيْهَا
“บรรดาผู้โฉดเขลาในหมู่มนุษย์นั้น(*ยาฮูดีและคริส*) จะกล่าวว่า อะไรเล่าที่ทำให้พวก(*มุสลิม*)หันออกไปจากกิบลัต(*บัยตุ้ลมักดิส*) ที่พวกมุสลิมเคยผินไป”
قُل لِّلَّهِ الْمَشْرِقُ وَالْمَغْرِبُ يَهْدِي مَن يَشَاء إِلَى صِرَاطٍ مُّسْتَقِيمٍ
“( จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่าทิศตะวันออกและทิศตะวันตกนั้นเป็นสิทธิของอัลลอฮ์เท่านั้น พระองค์จะทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ไปสู่ทางอันเที่ยงตรง”
อัลกุรอานได้บรรยายเอาไว้ ว่าพวกเขาพยายามที่จะสร้างความวุ่นวาย พวกนี้เป็นพวกที่หัวแข็ง ดื้อรั้น ไม่เคยคิดที่จะศรัทธาเลยแม้แต่น้อย
وَلَئِنْ أَتَيْتَ الَّذِينَ أُوتُواْ الْكِتَابَ بِكُلِّ آيَةٍ مَّا تَبِعُواْ قِبْلَتَكَ وَمَا أَنتَ بِتَابِعٍ قِبْلَتَهُمْ وَمَا بَعْضُهُم بِتَابِعٍ قِبْلَةَ بَعْضٍ وَلَئِنِ اتَّبَعْتَ أَهْوَاءهُم مِّن بَعْدِ مَا جَاءَكَ مِنَ الْعِلْمِ إِنَّكَ إِذَاً لَّمِنَ الظَّالِمِينَ
“และแน่นอน ถ้าหากเจ้าได้นำหลักฐานทุกอย่างมาแสดงแก่บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์พวกเขาก็ไม่ตามกิบลัตของเจ้า(*อัล-กะบ์อะฮ์*) และเจ้าก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของพวกเขา และบางกลุ่มในพวกเขาเองก็มิใช่จะเป็นผู้ตามกิบลัตของอีกบางกลุ่ม(*ยิวและคริสเตียน ต่างก็ไม่ยอมตามกิบลัตของกันและกัน) และถ้าหากเจ้าไปปฏิบัติตามความใคร่ของพวกเขา หลังจากที่มีความรู้มายังเจ้าแล้ว แน่นอนทันใดนั้น เจ้าก็อยู่ในหมู่ผู้อธรรม”
และด้วยเหตุนี้อัลลอฮทรงมีพระประสงค์เป็นอย่างยิ่งที่จะทดสอบบ่าวของพระองค์ เพื่อที่ว่า ใครก็ตามปฏิบัติตามแนวทางของท่านรอซู้ล(ศอลฯ) คนหนึ่งคนใดจากพวกเขานั้นจะได้กลับตัวกลับใจในที่สุด ดังในโองการที่ว่า
وَمَا جَعَلْنَا الْقِبْلَةَ الَّتِي كُنتَ عَلَيْهَا إِلاَّ لِنَعْلَمَ مَن يَتَّبِعُ الرَّسُولَ مِمَّن يَنقَلِبُ عَلَى عَقِبَيْهِ وَإِن كَانَتْ لَكَبِيرَةً إِلاَّ عَلَى الَّذِينَ هَدَى اللَّهُ وَمَا كَانَ اللَّهُ لِيُضِيعَ إِيمَانَكُمْ إِنَّ اللَّهَ بِالنَّاسِ لَرَؤُوفٌ رَّحِيمٌ
“และเรามิได้ให้มีขึ้นซึ่งกิบลัตที่เจ้าเคยผินไป นอกจากเพื่อเราจะได้รู้ว่าใครบ้างที่จะปฏิบัติตามร่อซูล จากผู้ที่กำลังหันสันเท้าทั้งสองของเขากลับ(*2*) และแท้จริงการเปลี่ยนแปลงกิบลัตนั้น เป็นเรื่องใหญ่นอกจากแก่บรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงแนะนำเท่านั้น และใช่ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทำให้การศรัทธาของพวกเจ้าสูญไปก็หาไม่แท้จริงอัลลอฮ์เป็นผู้ทรงกรุณาปราณี ผู้ทรงเมตตาแก่มนุษย์เสมอ”
ท่านฮาซัน อัลบาซอรีย์ ได้อธิบายอายะห์ที่ได้กล่าวไปแล้ว ว่า อัลลอฮ์ไม่ได้ให้ ท่านนบี และการผินของบรรดามุสลิมพร้อมกับท่านนบีนั้น สูญเปล่า ดังนั้นการที่มุสลิมได้ทำการการเปลี่ยนกิบละห์นี้ ก็คือการทดสอบ และผลของการทดสอบนี้ ไม่ได้กลับไปหาอัลลอฮตะอาลา แต่ว่าผลนั้นกลับไปหาบ่าวของพระองค์ ซึ่งพวกเขาจะต้องรับรู้ถึงรากฐานอันอ่อนแอในสังคมของพวกเขาในขณะนั้น เนื่องมาจากเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้ที่มีศรัทธาไม่มั่นคง เกิดความสงสัย และปฏิเสธการศรัทธาก็มี ดังนั้นความพยายามรักษา รากฐานของสังคม และทำให้สังคมนั้นเข้มแข็ง จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการเชื่อฟังคำสั่งของท่านนบีนั่นเอง
ศรัทธาชนที่เคารพ
การเปลี่ยนกิบละห์ เกิดขึ้นก่อนที่จะเกิดสมรภูมิบาดัร กุบรอ ประมาณหนึ่งเดือนกว่าๆ กระทั่งท่านรอซู้ล(ซอลฯ)ได้เข้าสู่สนามรบพร้อมกับบรรดาซอฮาบะห์ผู้ที่มีความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮตะอาลา และพร้อมที่จะปฏิบัติตามท่านรอซู้ล พวกเขาเหล่านี้ได้ทำให้ศาสนาของอัลลอฮ์ แข็งแรง โดยการสนับสนุนของท่านรอซู้ล อัลลอฮ์จึงทำให้พวกเขาอยู่อย่างมั่นคงบนแผ่นดินของพระองค์
พี่น้องมุสลิมที่เคารพ ท่านทั้งหลายจงยำเกรงต่ออัลลอฮ ตะอาลา จงขออภัยโทษต่อพระองค์เถิด และจงทำจิตใจของพวกท่านให้สะอาดปราศจากความริษยาต่อกัน จงออกห่างสิ่งต้องห้ามทั้งหลาย และจงปฏิบัติตามนบีของพวกท่านเถิด ท่านทั้งหลายทราบหรือเปล่าว่าท่านนบีของเรานั้น ทำการถือศีลอดในเดือนชะอ์บานนี้เป็นส่วนใหญ่ จากท่านหญิงอาอิชะห์ รอดิยัลลอฮุอันฮา ท่านกล่าวว่า ท่านไม่เห็นว่ามีเดือนใดท่านนบีจะทำการถือศีลอดครบเดือนเลย นอกจากเดือนรอมาฎอน และนอกจากรอมาฎอนแล้ว ท่านก็ไม่เคยเห็นเดือนไหนที่ท่านนบีถือศีลอด มากเท่ากับเดือนชะอ์บาน
ดังนั้นชะอ์บาน คือเดือนที่เหมาะอย่างยิ่งที่จะทำอิบาดะห์ให้มาก ทั้งขอดุอาอ์ กล่าว อิซติฆฟาร ขออภัยโทษต่อบาป และสนับสนุนให้ทำการถือศีลอดเป็นประจำ คือ ถือศีลอดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับ รอมาฎอนที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้
วันและเดือนต่างๆ จะมีความประเสริฐได้นั้น ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ต่างๆในประวัติศาสตร์ที่อุบัติขึ้น โดยที่มันได้ทิ้งร่องรอยอันน่าประทับใจ และน่าจดจำหลายๆอย่าง และจากเรื่องราวที่ได้เล่ามานี้ เดือนชะอ์บานจึงเป็นเดือนอีกเดือนหนึ่งจากเดือนอันประเสริฐหลายๆเดือน ที่มุสลิมเราทั้งหลายจะได้ร่วมกัน ปฏิบัตตามซุนนะห์ของท่านรอซู้ล ด้วยการพูดจากันด้วยคำพูดที่ดี การพากเพียรที่จะถือศีลอด และการทำอามัลอิบาดะห์อื่นๆตามแบบฉบับของท่านนบีมุฮำหมัด(ซอลฯ) ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และมุ่งหวังที่จะให้อัลลอฮตะอาลานั้น รับการเตาบะห์และอภัยโทษต่อความผิดที่ได้กระทำมา

วันศุกร์, กรกฎาคม 07, 2549

พี่น้องมุสลิมทุกท่าน
ท่านทั้งหลายจงยำเกรงต่อ อัลลอฮ และจงใคร่ครวญถึงโองการต่างๆที่ชี้ถึงอานุภาพของพระองค์ เพื่อรับทราบถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ และสักการะต่อพระองค์
แท้จริงอัลลอฮตะอาลาได้บันดาลชั้นฟ้าและแผ่นดิน และระหว่างฟ้าและแผ่นนั้นพระองค์ได้สร้างสิ่งต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ภูเขา ต้นไม้ ทะเล แม่น้ำ สร้างมาอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นระเบียบ รวมระยะเวลา 6 วัน ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงสามารถที่จะบันดาลมันได้ในชั่วพริบตาก็ตาม
إِنَّمَا قَوْلُنَا لِشَيْءٍ إِذَا أَرَدْنَاهُ أَن نَّقُولَ لَهُ كُن فَيَكُونُ
“แท้จริงคำกล่าวของราแก่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเมื่อเราปรารถนามัน เราก็จะกล่าวแก่มันว่า จงเป็น แล้วมันก็เป็นขึ้น”
وَمَا أَمْرُنَا إِلَّا وَاحِدَةٌ كَلَمْحٍ بِالْبَصَرِ
“ และกิจการของเรา (ในการสร้าง) นั้นเพียง (บัญชา) ครั้งเดียว เหมือนกับชั่วพริบตาเดียว ”
อัลลอฮตะอาลา ทรงบันดาลสิ่งต่างๆที่กล่าวมาในเวลา 6 วัน อันมีนัยยะซ่อนอยู่ ซึ่งก็เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ และแท้จริงอัลลอฮตะอาลาทรงบันดาลมนุษย์ มาจากดิน พระองค์สร้างท่านนบีอาดำมาจากดิน ต่อจากนั้นก็ให้ลูกหลานของท่านนบี เกิดมาจากน้ำที่พุ่งออกมาจากกระดูกสันหลังและส่วนบนของอก ต่อจากนั้นทำให้อยู่ที่ที่มั่นคง ปลอดภัยจากแสงแดด อากาศ ความร้อน และความเย็น พระองค์ได้บันดาลให้ตัวอ่อนซ่อนตัวอยู่ในความมืดถึง 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นที่ 1 คือความมืดของท้องมารดา
ชั้นที่ 2 คือความมืดของมดลูก
และชั้นที่ 3 คือความมืดของถุงน้ำคร่ำ
40 วันหลังจากปฏิสนธิ ก็จะกลายเป็นเลือดก้อน จากเลือดก้อนก็จะเริ่มเป็นตัวอ่อนมีเนื้อหนัง หลังจากครบสี่เดือน อัลลอฮจะใช้ให้มาลาอิกะห์ เป่าวิญญาณเข้าไปและกลายเป็นมนุษย์ สิ่งที่ถูกสร้างที่มีสติปัญญาอย่างสมบูรณ์แบบ แท้จริง อัลลอฮตะอาลาทำให้บรรดาบ่าวได้เห็น และให้พวกเขาได้พิจารณาตรึกตรองถึงพลานุภาพของพระองค์
และอัลลอฮตะอาลาทรงสร้างท่านนบีอีซาอะลัยฮิสลาม มาจากมารดา ก็คือพระนางมัรยัม โดยปราศจาก จากบิดา และ ด้วยเดชานุภาพของพระองค์ ท่านนบีอีซาสามารถพูดได้ตั้งแต่แรกคลอด แต่ละคำพูดของท่านก็ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
قَالَ إِنِّي عَبْدُ اللَّهِ آتَانِيَ الْكِتَابَ وَجَعَلَنِي نَبِيّا ً
وَجَعَلَنِي مُبَارَكاً أَيْنَ مَا كُنتُ وَأَوْصَانِي بِالصَّلَاةِ وَالزَّكَاة
وَبَرّاً بِوَالِدَتِي وَلَمْ يَجْعَلْنِي جَبَّاراً شَقِيّا ً مَا دُمْتُ حَيّاً
وَالسَّلَامُ عَلَيَّ يَوْمَ وُلِدتُّ وَيَوْمَ أَمُوتُ وَيَوْمَ أُبْعَثُ حَيّاً

“เขา (อีซา) กล่าวว่า แท้จริงฉันเป็นบ่าวของอัลลอฮ์ พระองค์ทรงประทานคัมภีร์แก่ฉันและทรงให้ฉันเป็นนบี และพระองค์ทรงให้ฉันได้รับความจำเริญ ไม่ว่าฉันจะอยู่ ณ ที่ใด และทรงสั่งเสียให้ฉันทำการละหมาดและจ่ายซะกาตตราบที่ฉันมีชีวิตอยู่ และทรงให้ฉันทำดีต่อมารดาของฉันและจะไม่ทรงทำให้ฉันเป็นผู้หยิ่งยะโส ผู้เลวทรามต่ำช้า และความศานติจงมีแด่ฉัน วันที่ฉันถูกคลอด และวันที่ฉันตาย และวันที่ฉันถูกฟื้นขึ้นให้มีชีวิตใหม่”
อัลลอฮตะอาลาได้บอกเราเกี่ยวกับเรื่องราวของท่านนบีอีซาอะลัยฮิสลามไว้ในอัลกุรอานเกี่ยวกับ มัวอ์ญิซาต ก็คือท่านได้ปั้นดินให้เป็นรูปนก จากนั้นท่านก็เป่าไปที่รูปปั้นนั้น แล้วมันก็กลายเป็นนกจริงๆขึ้นมา ด้วยพระประสงค์ของพระองค์ และท่านนบีก็ได้รักษาคนที่ตาบอดแต่กำเนิดให้หาย รักษาคนที่เป็นโรคเรื้อน และทำให้คนที่ตายไปแล้วกลับมีชีวิตขึ้นมา ด้วยอนุมัติของอัลลอฮตะอาลา
และอัลลอฮ์ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ที่ปรากฏในซูเราะห์ อัลบากอเราะห์ 5 เหตุการณ์ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพในโลกดุนยา
เรื่องแรกเป็นเรื่องของชาวบนีอิสรอเอล ที่พวกเขาได้กล่าวกับท่านนบีมูซาว่า
لَن نُّؤْمِنَ لَكَ حَتَّى نَرَى اللَّهَ جَهْرَةً
“เราจะไม่ศรัทธาต่อท่านเป็นอันขาดจนกว่าเราจะได้เห็นอัลลอฮโดยเปิดเผย”
และทันใดนั้นขณะที่พวกเขากำลังเฝ้าดูในสิ่งที่พวกเขาร้องขออยู่นั้นก็มีสายฟ้าฟาดลงมาที่พวกเขา และพวกเขาก็เสียชีวิตทั้งหมด ต่อมาอัลลอฮก็ได้ให้พวกเขาฟื้นคืนชีพมาอีกครั้งหนึ่ง
ในเรื่องนี้อัลลอฮตะอาลาได้บอกกับพวกบนีอิสรออีลว่า
وَإِذْ قُلْتُمْ يَا مُوسَى لَن نُّؤْمِنَ لَكَ حَتَّى نَرَى اللَّهَ جَهْرَةً فَأَخَذَتْكُمُ الصَّاعِقَةُ وَأَنتُمْ تَنظُرُونَ ثُمَّ بَعَثْنَاكُم مِّن بَعْدِ مَوْتِكُمْ لَعَلَّكُمْ تَشْكُرُونَ
“และจงรำลึกถึง ขณะที่พวกเจ้ากล่าวว่า โอ้มูซา เราจะไม่ศรัทธาต่อท่านเป็นอันขาด จนกว่าเราจะได้เห็นอัลลอฮโดยเปิดเผย แล้วสายฟ้าผ่าก็ได้คร่าพวกเจ้า ขณะที่พวกเจ้ามองดูกันอยู่ ภายหลังเราได้ให้พวกเจ้าคืนชีพ หลังจากที่พวกเจ้าได้ตายไปแล้ว เพื่อว่าพวกเจ้าจักขอบคุณ”
เรื่องที่สอง เหตุการณ์ การฆาตกรรมที่กล่าวขาน โจษจันท์สะเทือนขวัญ ของชาวบนีอิสรอเอล ในสมัยของท่านนบี มูซา อาลัยฮิสลามฯ จนกระทั่งอัล กุรอ่าน ได้ประทานลงมาเล่าถึงความจริง ถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ ให้กับท่านนบี ซ.ล และพวกเราได้รู้ถึงความจริง และมีนัยยะแห่งปัญญา อันมากมายภายในเรื่องนี้ โดยคนที่ถูกฆาตกรรม เป็นชนเผ่าหนึ่งของชาวบนีอิสรอเอลเขาถูกฆ่า ด้วยน้ำมือ ของลูกชายน้า เขาเอง แต่พวกเขากลับกล่าวหา ใส่ร้ายชนเผ่าอื่นว่า เป็นผู้ทำการฆาตกรรมครั้งนี้ ( โดยพวกเขาไม่เสาะหาเบื้องหลังของความเป็นจริง ) จนมีการโต้เถียง ทะเลาะวิวาท กันอย่างรุนแรงระหว่างสองเผ่า เรื่องได้บานปลายมาถึงท่านนบี มูซา อาลัยฮิสลาม มาทำการตัดสินหาฆาตกร ในครั้งนี้ โดยที่พระอัลเลาะห์ ซ.บ ได้มีวาฮีย์แก่นบี มูซา อาลัยฮิสลามฯ ให้พวกเขาเชือดวัวตัวหนึ่ง แล้วเอาส่วนหนึ่งของวัวตัวนั้นมา ทำการตีลงบนตัวของผู้ตาย แล้วพระองค์ อัลเลาะฮ์จะให้ผู้ตายฟื้นขึ้นมา บอกถึงความเป็นจริง จากโองการ.....
وَإِذْ قَتَلْتُمْ نَفْساً فَادَّارَأْتُمْ فِيهَا وَاللّهُ مُخْرِجٌ مَّا كُنتُمْ تَكْتُمُونَ فَقُلْنَا اضْرِبُوهُ بِبَعْضِهَا كَذَلِكَ يُحْيِي اللّهُ الْمَوْتَى وَيُرِيكُمْ آيَاتِهِ لَعَلَّكُمْ تَعْقِلُونَ
“และจงนึก เมื่อตอนที่สูเจ้าฆ่าชายคนหนึ่ง และสูเจ้าก็เริ่มซัดทอดกันในเรื่องนี้ แต่อัลลอฮ์ก็ได้นำเรื่อง ที่สูเจ้าปิดบังออกมาเปิดเผย ดังนั้น เราจึงได้บัญชาว่า จงฟาดไปที่ศพของคนที่ถูกฆ่า โดยใช้ส่วนหนึ่งของวัวที่ถูกเชือดพลี จงดูว่าอัลลอฮ์ ทรงทำให้คนตาย กลับฟื้นมีชีวิตได้อย่างไร และพระองค์ ได้ทรงแสดงสัญญาณให้เห็น เพื่อที่ว่าสูเจ้าจะได้เข้าใจ”

เรื่องที่สาม เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนหลายพันคนของชนกลุ่มชาวบนี ิอิสรอเอลฯ ซึ่งพวกเขาพยายามที่จะหนีจากความตาย หนีออกจากหมู่บ้านของพวกเขา บางตัฟซีร กล่าวว่า หนีเพราะโรคระบาด และบางตัฟซีร กล่าวว่า หนีเพราะศัตรูที่มีพลังอำนาจเหนือกว่า บุกเข้ามาโจมตี แย่งดินแดน เพื่อจะกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก แต่ทว่า ไม่ว่าพวกเขาจะหนีไปแห่งหนใด พวกเขาก้อไม่สามารถที่จะหนีพ้นจากอำนาจของพระองค์อัลลอฮไปได้ พระองค์ก็ได้ทำให้พวกเขาตาย เพื่อให้พวกเขาได้รู้ถึงพลังอำนาจของพระองค์ ต่อจากนั้นพระองค์ ก็ทำให้พวกเขามีชีวิตเหมือนเดิม จนกระทั่งพวกเขาตาย ตามอายุขัยของพวกเขา ซึ่งดังกล่าวบ่งบอกถึงอำนาจ เดชานุภาพ ที่ยิ่งใหญ่ ของพระองค์ และทุกอย่างอยู่ในกำมือของพระองค์
أَلَمْ تَرَ إِلَى الَّذِينَ خَرَجُواْ مِن دِيَارِهِمْ وَهُمْ أُلُوفٌ حَذَرَ الْمَوْتِ فَقَالَ لَهُمُ اللّهُ مُوتُواْ ثُمَّ أَحْيَاهُمْ إِنَّ اللّهَ لَذُو فَضْلٍ عَلَى النَّاسِ وَلَـكِنَّ أَكْثَرَ النَّاسِ لاَ يَشْكُرُونَ
“เจ้าไม่รู้ดอกหรือ? ถึง (ประวัติของ) บรรดาผู้ที่ออกจากบ้านเมือง โดยมีจำนวนนับเป็นพันคน เพราะความกลัวตาย แต่แล้วอัลลอฮ์ก็ทรงตรัสแก่พวกเขาว่า พวกเจ้าจงตายเถิด ครั้นต่อมาพระองค์ก็ชุบชีวิตพวกเขา (ขึ้นมาใหม่) แท้จริงอัลลอฮ์ทรงไว้ซึ้งความโปรดปรานแก่มวลมนุษย์ แต่ทว่ามนุษย์ส่วนมากหาได้ขอบคุณพระองค์ไม่”

เรื่องที่สี่ เรื่องราวที่แสดงถึง ความมหัศจรรย์ ที่พระองค์ ได้สำแดงอำนาจ อันเดชานุภาพของพระองค์ ให้มนุษย์ทั้งหลายได้เห็น มีชายคนหนึ่งตัฟซีรบางเล่มบอกว่าเป็น นบีคิเดร บางเล่มบอกว่าเป็นท่านนบี อาซีซ ได้เดินทาง พร้อมเสบียงอาหาร และพาหนะของเขา ชายผู้นี้ ได้เดินผ่านหมู่บ้านหนึ่ง กล่าวกันว่า หมู่บ้านนี้ คือหมุ่บ้าน บัยตุ้ลมักดิส ถูกทำลายโดย กษัตริย์แห่งบาบิโลน เมื่อก่อนคริสตกาล ซึ่งถูกทิ้งร้าง สภาพบ้านเรือนก็พังเสียหาย ชายผู้นี้จึงคิดว่าเป็นการยากที่จะฟื้นฟูให้กลับมาเหมือนเดิม พระองค์อัลลอฮจึงประสงค์ให้เขาทราบถึง เดชานุภาพของพระองคฺ โดยทำให้เขาตาย ที่หมู่บ้านแห่งนั้น เป็นเวลาร้อยปี พร้อมกับลาซึ่งเป็นพาหนะของเขา ที่สลายไปแล้วเหลือแต่กระดูกที่กองอยู่ มีแต่เสบียงอาหารของเขาเท่านั้น ที่สร้างความอัศจรรย์ เป็นอย่างมาก เพราะมันยังคงเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง สักนิดเดียว แม้เวลาจะผ่านไปแล้วเป็นร้อยๆ ปี สภาวะ อากาศไม่สามารถ ที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพของอาหารได้เลย ต่อมาด้วยพระประสงค์ของอัลลอฮ พระองค์ ได้ทำให้เขาฟื้นชีพขึ้นมาอีก พร้อมกับพาหนะของเขา ที่ย่อยสลาย ไปกับกาลเวลา ที่ผ่านไปร้อยปี ให้กลับมาเหมือนเดิมอีกครั้งหนึ่ง
أَوْ كَالَّذِي مَرَّ عَلَى قَرْيَةٍ وَهِيَ خَاوِيَةٌ عَلَى عُرُوشِهَا قَالَ أَنَّىَ يُحْيِـي هَـَذِهِ اللّهُ بَعْدَ مَوْتِهَا فَأَمَاتَهُ اللّهُ مِئَةَ عَامٍ ثُمَّ بَعَثَهُ قَالَ كَمْ لَبِثْتَ قَالَ لَبِثْتُ يَوْمًا أَوْ بَعْضَ يَوْمٍ قَالَ بَل لَّبِثْتَ مِئَةَ عَامٍ فَانظُرْ إِلَى طَعَامِكَ وَشَرَابِكَ لَمْ يَتَسَنَّهْ وَانظُرْ إِلَى حِمَارِكَ وَلِنَجْعَلَكَ آيَةً لِّلنَّاسِ وَانظُرْ إِلَى العِظَامِ كَيْفَ نُنشِزُهَا ثُمَّ نَكْسُوهَا لَحْمًا فَلَمَّا تَبَيَّنَ لَهُ قَالَ أَعْلَمُ أَنَّ اللّهَ عَلَى كُلِّ شَيْءٍ قَدِيرٌ
“หรืออุปมาผู้ที่ผ่านมาเมืองหนึ่ง และมันพังยุบลงมาทั้งหลังคาของมัน เขากล่าวว่า เมื่อใดหนออัลลอฮ์ จึงจะฟื้นฟูเมืองนี้ขึ้นมาอีก หลังจากที่มันได้ตาย (พังทลาย) ไปแล้ว ครั้นแล้วอัลลอฮ์ ก็ทำให้เขาตายไปหนึ่งร้อยปี หลังจากนั้น พระองค์ก็ได้ให้เขาฟื้นขึ้นมาอีก (เมื่อฟื้นแล้ว) พระองค์ก็ตรัสว่า (ถามเขา) ว่า เจ้าพักอยู่นานเท่าใด เขาทูลตอบว่า ข้าพเจ้าพักอยู่หนึ่งวันหรือครึ่งวัน พระองค์ทรงตรัส (แก่เขา) ว่า ความจริงเจ้าพักอยู่ถึงหนึ่งร้อยปี เจ้าจงมองไปที่อาหารและเครื่องดื่มของเจ้าสิ มันยังไม่เน่าบูดเลย และเจ้าจงมองไปที่ลาของเจ้า (ที่ใช้ขี่มันมา) ซิ (ปรากฏว่าลาของเขา ตายจนกระดูกป่นไปแล้ว) และเพื่อเราจักบันดาลให้ (เรื่องราวเกี่ยวกับ) เจ้าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของมนุษย์ และเจ้าจงมองไปที่กองกระดูก (ของลาตัวนั้น) ซิ ว่าเราทำการประกอบมัน (ให้เป็นโครงร่าง) ได้อย่างไรแล้วต่อมาเราก็หุ้มมันด้วยเนื้อ ครั้นเมื่อเหตุการณ์ได้ประจักษ์แจ้งแก่เขาแล้ว เขาก็กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเดชานุภาพเหนือทุกๆสิ่ง”

และสุดท้าย เรื่องที่ห้าเป็นเรื่องของ ท่านนบีอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม ท่านได้วอนขอต่ออัลลอฮ ให้เห็นถึงวิธีการชุบชีวิตสิ่งที่ตายให้กลับฟื้นคืนชีพมาใหม่ พระองค์จึงทรงใช้ให้ท่านนบีนำสัตว์ปีกมา 4 ชนิด และตัดแบ่งออกเป็นชิ้นๆ โดยเก็บสัญลักษณ์ของแต่ละชนิดไว้เพื่อบอกชนิดของสัตว์ปีกเหล่านั้น เป็นยืนยันว่าเป็นชิ้นส่วนของสัตว์ตัวนี้จริง จากนั้นนำขึ้นไปไว้ตามภูเขา ต่อมา อัลลอฮก็ใช้ให้ท่านนบี เรียกชิ้นส่วนเหล่านั้น และทันใดนั้นชิ้นส่วนทั้งหมดก็มารวมกันและประกอบเป็นร่างเหมือนเดิม แล้วมันก็เดินมาหาท่านนบีอิบรอฮีม
وَإِذْ قَالَ إِبْرَاهِيمُ رَبِّ أَرِنِي كَيْفَ تُحْيِـي الْمَوْتَى قَالَ أَوَلَمْ تُؤْمِن قَالَ بَلَى وَلَـكِن لِّيَطْمَئِنَّ قَلْبِي قَالَ فَخُذْ أَرْبَعَةً مِّنَ الطَّيْرِ فَصُرْهُنَّ إِلَيْكَ ثُمَّ اجْعَلْ عَلَى كُلِّ جَبَلٍ مِّنْهُنَّ جُزْءًا ثُمَّ ادْعُهُنَّ يَأْتِينَكَ سَعْيًا وَاعْلَمْ أَنَّ اللّهَ عَزِيزٌ حَكِيمٌ
“และเมื่อครั้งที่อิบรอฮีมได้กล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลโปรดเนรมิตให้ข้าพเจ้าได้เห็นเถิดว่า พระองค์ทรงชุบชีวิตแก่ผู้ตายได้อย่างไร พระองค์ทรงดำรัสว่า เจ้าไม่เชื่อหรือ? เขากล่าวว่า มิใช่ แต่เพื่อจิตใจของข้าพเจ้าจะได้สงบมั่นคงยิ่งขึ้น พระองค์ทรงดำรัสว่า ดังนั้นจงนำเอาสัตว์ ปีกมาสี่จำพวก แล้วหั่นออกเป็นส่วน จากนั้น จงเอาไปไว้ตามภูเขา หลังจากนั้นเจ้าก็จงเรียกพวกมัน แน่นอนพวกมันก็จะมาหาเจ้าโดยพลัน และเจ้าจงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริง อัลลอฮ์ ทรงอำนาจยิ่งอีกทั้งทรงปรีชายิ่ง”

และที่กล่าวมานี้เป็นตัวอย่างของการที่อัลลอฮตะอาลา ได้ชุบชีวิตสิ่งที่ตายแล้วในโลกดุนยานี้ มันเป็นหลักฐานสำคัญที่ยืนยันถึงการฟื้นคืนชีพของพวกเราทุกคนที่จะเกิดขึ้นในวันกิยามะห์ซึ่งเป็นเรื่องง่ายเหลือเกินสำหรับพระองค์
وَهُوَ الَّذِي يَبْدَأُ الْخَلْقَ ثُمَّ يُعِيدُهُ وَهُوَ أَهْوَنُ عَلَيْهِ
“และพระองค์คือผู้ทรงริเริ่มในการสร้าง แล้วทรงให้มันกลับขึ้นมาอีก และมันเป็นการง่ายยิ่งแก่พระองค์”
อัลลอฮตะอาลาผู้ทรงเดชานุภาพ เพียงแค่พระองค์ตรัสเพียงครั้งเดียว เหล่ามนุษย์ก็จะออกจากหลุมศพของพวกเขาในสภาพที่มีชีวิต
ท่านพี่น้องผู้มีอีหม่านทุกท่าน หวังหว่าตัวอย่างที่กล่าวมาข้างตนคงเป็นสิ่งที่เตือนสติเตือนใจ แก่ทุกท่านในการ ยึดมั่นต่ออัลลอฮตะอาลา สำนึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ คิดถึงวันแห่งการตัดสิน วันที่ทุกคนจะต้องฟื้นคืนชีพมาเพื่อรอการตัดสิน ถึงผลของการกระทำในดุนยาที่ผ่านมา การปฏิบัติในวันนี้ของท่านเพียงพอแล้วหรือที่ท่านจะเข้าเฝ้าพระองค์

วันพฤหัสบดี, เมษายน 27, 2549

กำเนิด “บ้านดอน”
หมู่บ้านหนึ่งซึ่งกล่าวถึงราวเรื่อง นามกระเดื่องเฟื่องไปไกลหนักหนา
ชื่อ “บ้านดอน” ดอนเหมือนชื่อเลื่องลือชา เที่ยวเสาะหาน้ำกินแทบสิ้นใจ
บ้านดอนนี้มิอยู่ที่สุราษฎร์ ขอประกาศตรงๆเผื่อหลงใหล
สุขุมวิทติดพร้อมพงษ์แล้วตรงไป แปดเสาไฟก็ถึงซึ่งบ้านดอน
ชนกลุ่มนี้มิอยู่เป็นหลักแหล่ง แตกแขนงจากที่หลายปีก่อน
จากตานีรี่กรุงมุ่งหวังจร สู่นครเมืองกรุงมุ่งทำกิน
พวกนี้หรือนับถือคือศาสนา อัลลอฮตะอาลาเป็นเจ้าเขาถวิล
มุฮำหมัดศาสดาคลาได้ยิน ให้ถือศีลทำละหมาดอย่าขาดกัน
ถากถางป่าในนี้มีไม่น้อย เป็นร้อยๆขึ้นไปใครขยัน
ถางได้มากเป็นของตัวชั่วนิรันดร์ ถากถางกันเข้าไปทำไร่นา
ครั้นต่อมาหลายปีมิปรากฏ น้ำมันลดดินมันแห้งแล้งหนักหนา
ต้องอพยพขึ้นเหนือเบื่อระอา สูงขึ้นมาจรดคลองต้องดวงใจ
คลองแห่งหนึ่งมีชื่อว่า “แสนแสบ” คลองมันแคบไร้ผู้อยู่อาศัย
ยุงก็ชุมรุมกัดกินแทบสิ้นใจ ใครผ่านไปยุงจะแหนบแสบทั้งตัว
ต่างทำนาเป็นหมู่กู้ฐานะ ไม่ลดละทำกันขยันทั่ว
แผ่สาขาออกไปหลายครอบครัว รู้กันทั่วชั่วคนว่า “บ้านดอน”


ฮัจยีอิรฟาน วงศ์ปถัมภ์......ผู้ประพันธ์
*********************************************************
ประวัติ “บ้านดอน”
ชุมชนบ้านดอนถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ.2367 หรือประมาณ 170 กว่าปีมาแล้วโดยมุสลิมกลุ่มหนึ่งซึ่งเดินทางมาจากจังหวัดปัตตานี เข้ามาตั้งภูมิลำเนาเป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่แถบถนนสุขุมวิทซอย 47 (ซอยบ้านดอน) ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นที่ดอน หมู่บ้านนี้จึงได้รับการขนานนามว่า “บ้านดอน”
ต่อมาเมื่อมีคนมากขึ้น ความเป็นอยู่เริ่มลำบาก เนื่องจากทำเลของหมู่บ้านตั้งอยู่บนที่ดอน ขาดแคลนน้ำกินน้ำใช้ การคมนาคมไม่สะดวก ชาวบ้านจึงร่วมใจกันย้ายหมู่บ้านมาอยู่ริมคลองแสนแสบ ซึ่งในบริเวณนั้นมีต้นไทรใหญ่มองเห็นได้ชัด คนทั่วไปจึงหันมาเรียกหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านต้นไทร” แต่ผู้ที่มาตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นคนที่ย้ายมาจากบ้านดอน จึงนิยมเรียกหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านดอน” เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อย้ายมาตั้งอยู่ริมคลองแสนแสบ ความเป็นอยู่ของคนในหมู่บ้านเริ่มดีขึ้นตามลำดับ จนทุกคนคิดตั้งหลักแหล่งเป็นการถาวร และเมื่อมีชุมชน ก็ต้องมีมันญิดเพื่อใช้ประกอบศาสนกิจ ดังนั้นมัสญิดหลังแรกในชุมชนนามว่า “ดารุ้ลมัวะฮซินีน” จึงถือกำเนิดขึ้นจากพลังความศรัทธาของทุกคน โดยมีผู้ทำหน้าที่อิหม่าม จากอดีตจนถึงปัจจุบันดังนี้
1. ฮัจยีฮะ มุสตาฟา
2. ฮัจยีเซ็น หวังภักดี
3. ฮัจยีอับดุลเลาะห์ กระเดื่องเดช
4. ฮัจยีชม มุสตาฟา
5. ฮัจยีมุด มะลิ
6. ฮัจยีอุสมาน มะลิ อิหม่ามคนปัจจุบัน

วันเสาร์, เมษายน 15, 2549

  • فقد قال الله تعالي في كتابه العزيزوهو أصدق القائلين

لَقَدْ مَنَّ اللّهُ عَلَى الْمُؤمِنِينَ إِذْ بَعَثَ فِيهِمْ رَسُولاً مِّنْ أَنفُسِهِمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِهِ وَيُزَكِّيهِمْ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَإِن كَانُواْ مِن قَبْلُ لَفِي ضَلالٍ مُّبِينٍ
ศรัทธาชนที่รักและเคารพ
จงมีความยำเกรงต่อพระองค์อัลลอฮ(ซบ.)ให้มาก และจงตระหนักว่าชีวิตเรานั้นได้เดินมุ่งหน้าสู่ความตายทุกขณะ เวลาได้ดำเนินเรื่อยมาโดยไม่มีการหยุดนิ่ง จากวินาทีสู่นาที จากนาทีสู่ชั่วโมง จากชั่วโมงสู่ วัน จากวันสู่สัปดาห์ จากสัปดาห์ สู่เดือน และจากเดือน สู่ปี เป็นอย่างนี้เรื่อยมาและเป็นอย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าจะถึงวันอาคิเราะห์ และในขณะนี้ได้เราได้ย่างเข้าสู่เดือนเดือนหนึ่งที่ชื่อว่า เดือน “ربيع الأول” ซึ่งเดือนนี้เองมีวันสำคัญอยู่วันหนึ่ง เป็นวันที่มหาบุรุษแห่งสากลโลกได้ถือกำเนิด เกิดมาเพื่อเป็นแบบอย่างอันดีงามแก่มนุษยชาติ
ربيع الأول เป็น เดือนแห่งการรำลึกถึงท่านรอซูลุลลอฮ์(ศอลฯ) เดือนที่อัลลอฮ์ ได้ให้เรามีโอกาสมีชีวิตอยู่ และรำลึกถึงท่านศาสดาอีกครั้งหนึ่ง นับเป็นเกียรติแก่พวกเราเป็นอย่างยิ่ง ที่เดือนนี้ได้หวนกลับมาหาเราในครั้งนี้
เมื่อถึงวันเมาลิด เรา ในฐานะ ประชาชาติของนบีมุฮำหมัด(ซอลฯ) สามารถแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อท่านรอซู้ล(ซอลฯ)ได้ การแสดงออกถึงการรำลึกถึงท่านรอซู้ล(ซอลฯ) อาทิ เช่น การซอลาวาต ด้วยกับการกล่าว
"اللهم صل على سيدنا محمد"
หรือ เมื่อเราได้ยินใฅรก็ตามกล่าวนามชื่อของท่านศาสดา ก็ให้เรากล่าวว่า
"صلى الله عليه وسلم"
เพื่อเป็นการสรรเสริญท่านนบี
أَوْلَى الناسِ بِي يومُ القيامةِ أكثرُهم عليَّ صلاةً
มนุษย์ที่ดีที่สุดสำหรับฉัน ในวันกียามัต คือมนุษย์ ที่ซอลาหวาตต่อฉันมากที่สุด
من صَلَّى عليَّ صلاةً صلَّى اللهُ عليهِ بها عشْرا
“บุคคลใดที่ซอลาหวาดต่อฉัน ซอลาหวาดเดียว อัลเลาะห์จะทรงซอลาวาดให้เขา สิบซอลาหวาต”
ที่ว่าอัลลอฮจะทรางซอลาหวาดให้นั้น หมายถึงอัลลอฮจะให้ความเมตตาแก่เขานั่นเอง
และสิ่งที่แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อท่านรอซู้ล อย่างชัดเจนอีกประการหนึ่ง นั่นก็คือการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของอัลลอฮตะอาลา และเชื่อฟังท่านรอซู้ล
อุมมะห์ของท่านจะต้องมีจิตใจที่เปี่ยมล้นไปด้วย ความศรัทธาและยำเกรงต่ออัลลอฮ (ซบ.) เพื่อเป็นการน้อมรับต่อเจตนารมณ์ของท่านศาสดา ลิ้นของพวกเขาจะต้องพร่ำกล่าว สดุดี สรรเสริญ แก่ท่านศาสดา ผู้ที่ช่วยให้พวกเขาพ้นภัย ผู้ที่ได้ทำลายรูปปั้นให้หมดไปจากกะอ์บะห์ ผู้ที่ชี้นำเรา ผู้ซึ่งที่ทำให้เกิดความยุติธรรมขึ้นระหว่างชนชั้น แท้จริง ทุกๆคนนั้นเท่าเทียมกันหมดภายใต้ธรรมนูญแห่งอิสลาม
يَا أَيُّهَا النَّاسُ إِنَّا خَلَقْنَاكُم مِّن ذَكَرٍ وَأُنثَى وَجَعَلْنَاكُمْ )
شُعُوباً وَقَبَائِلَ لِتَعَارَفُوا إِنَّ أَكْرَمَكُمْ عِندَ اللَّهِ أَتْقَاكُمْ إِنَّ اللَّهَ عَلِيمٌ خَبِيرٌ)
“โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชาย และเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่า และตระกูลเพื่อจะได้รู้จักกัน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮ์นั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ”

การมาของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศอล) เปรียบเสมือนแสงสว่างที่สาดส่องความมืดบอดให้หายไป ด้วยศาสนาที่ทำให้จิตใจมนุษย์ตื่นขึ้นจากการหลับใหล ท่านศาสดาเป็นตัวแทนแห่งความเมตตา ความยุติธรรม และเป็นผู้นำแห่งอารยธรรมของโลก
อัลลอฮตะอาลาทรงแต่งตั้งมุฮัมหมัดเป็นศาสดาองค์สุดท้าย
(مَّا كَانَ مُحَمَّدٌ أَبَا أَحَدٍ مِّن رِّجَالِكُمْ وَلَكِن رَّسُولَ اللَّهِ
وَخَاتَمَ النَّبِيِّينَ وَكَانَ اللَّهُ بِكُلِّ شَيْءٍ عَلِيماً)
( “มุฮัมมัดมิได้เป็นบิดาผู้ใดในหมู่บุรุษของพวกเจ้า แต่เป็นร่อซู้ลของอัลลอฮ์และคนสุดท้ายแห่งบรรดานบี ”
และสาส์น ของท่านศาสดาก็คืออัลกุรอานและซุนนะห์ ที่ได้กระจายไปสู่มนษยชาติ
และท่านศาสดากล่าวอีกว่า

كان كُل نبيٍ يُبعَث إلي قومه خاصة وبُعِثتُ إلي كل أحمروأسود
“ทุกๆ บรรดานบี หรือบรรดานบี ทั้งหลาย ได้ถูกแต่งตั่งมาสู่ประชาชาติของเขาโดยเฉพาะ แต่ฉันได้ถูกแต่งตั้งมาสู่ประชาชาติทั้งหลายไม่ว่า ชนผิวแดง ผิวดำ ”
ฮาดิษนี้ชัดเจนว่าท่านรอซู้ลนั้นถูกแต่งตั้งมาโดยมิได้เฉพาะแต่ชาวอาหรับแต่ท่านถูกส่งมายังชาวโลกทั้งหมด
แต่ศาสดาท่านอื่นๆ ท่านเหล่านั้น ได้ถูกแต่งตั้งมาเพื่อประกาศศาสนา แก่กลุ่มชนเฉพาะกลุ่ม อย่างเช่น ท่านศาสดานูฮ ถูกบัญชาให้ประกาศศาสนาแก่พวกบูชารูปปั้นเมื่อครั้งที่เกิดน้ำท่วมโลก
ศาสดาฮูด ถูกบัญชาให้เผยแพร่ศาสนาแก่พวกอาด
ศาสดาซอและห์ ก็ประกาศศาสนาแก่พวกซามูด
สำหรับ ชาวบนีอิสรอเอล ก็มี ศาสดาหลายท่านที่ถูกบัญชาให้เผยแพร่สัจธรรมแก่พวกเขา เช่น ท่านนบีมูซา นบีซักรียา ท่านนบียะห์ยา และท่านนบีอีซา อะลัยฮิมุซาลาม
แต่สำหรับ มุฮัมหมัด เขา คือศาสดาที่มาประกาศสัจธรรมแก่มวลโลกนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโลกของมนุษย์ และโลกของญิน
( وما أرسلناك إلارحمة للعالمين )
“ และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อเป็นความเมตตาแก่ประชาชาติทั้งหลาย ”
(وَمَا أَرْسَلْنَاكَ إِلَّا كَافَّةً لِّلنَّاسِ بَشِيراً وَنَذِيراً وَلَكِنَّ
أَكْثَرَ النَّاسِ لَا يَعْلَمُونَ )
“และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด เว้นแต่เป็นผู้แจ้งข่าวดีและเป็นผู้ตักเตือนแก่มนุษย์ทั้งหลาย แต่ว่าส่วนมากของมนุษย์ไม่รู้ ”
(قُلْ يَا أَيُّهَا النَّاسُ إِنِّي رَسُولُ اللّهِ إِلَيْكُمْ جَمِيعاً الَّذِي لَهُ مُلْكُ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضِ لا إِلَـهَ إِلاَّ هُوَ يُحْيِـي وَيُمِيتُ فَآمِنُواْ بِاللّهِ وَرَسُولِهِ النَّبِيِّ الأُمِّيِّ الَّذِي يُؤْمِنُ بِاللّهِ وَكَلِمَاتِهِ وَاتَّبِعُوهُ لَعَلَّكُمْ تَهْتَدُونَ)
“ มุฮำหมัด จงกล่าวเถิด โอ้มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงฉันคือรอซูลของอัลลอฮมายังพวกท่านทั้งมวล สำหรับพระองค์แล้วบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ ไม่มีผู้ใดควรได้รับการเคารพสักการะ นอกจากพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงให้เป็นและทรงให้ตาย ดังนั้นพวกท่านจงศรัทธาต่ออัลลอฮและรอซูลของพระองค์ผู้เป็นนบีที่เขียนอ่านไม่เป็น ซึ่งเขาศรัทธาต่ออัลลอฮ และดำรัสทั้งหลายของพระองค์ และพวกเจ้าจงปฏิบัติตามเขาเถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับคำแนะนำ”
ศรัทธาชนที่เคารพ
แท้จริงท่านนบีมุฮัมมัด(ซอล) ได้นำศาสนาที่เป็นต้นแบบอันสมบูรณ์แก่มนุษย์ หลังจากที่ชีวิตของมนุษย์นั้นได้ พบกับความมืดมน ความป่าเถื่อน ท่านศาสดาเป็นต้นแบบของการประพฤติปฏิบัติอันดีงาม และเป้าหมายสำคัญของการประกาศศาสนา ก็คือ การทำให้มนุษย์ นั้นมีความยำเกรง ต่อพระผู้เป็นเจ้า นั่นคือจุดประสงค์ของการสร้างมนุษย์ ขึ้นมานั่นเอง
(وَمَا خَلَقْتُ الْجِنَّ وَالْإِنسَ إِلَّا لِيَعْبُدُونِ)
“และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า ”
ศรัทธาชาที่เคารพ
ร่างกาย อวัยวะทุกส่วนที่ได้งอกออกมานั้นไม่ใช่อื่นได้เลย นอกจากเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของพระเจ้า เพื่อที่จะได้รับผลบุญอันเนื่องมาจากความดี และ ได้รับการตอบแทนในวันกิยามะห์
ดังนั้นมนุษย์ทั้งหลาย จงดำรงชีวิตอย่างนบนอบ เชื่อฟังปฏิบัตตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด มีความเอื้ออาทร เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน และ มุสลิมทุกคนจะต้องนำเอา ท่านนบีเป็นแบบอย่าง โดยนำ ชีวประวัติของท่านมาศึกษา และปฏิบัติ ดังเช่น บรรดาซอฮาบะห์ทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติ ตามคำสั่งของท่านรอซูล ออกห่างจากสิ่งที่ต้องห้าม ยึดถือทำตามซุนนะห์ของท่านในทุกๆด้าน และเต็มเปี่ยมไปด้วย ความบริสุทธิ์ใจ ความรัก ความเอื้ออาทรเหล่านี้ เป็นแรงกระตุ้นให้จิตใจของเรามีความมุ่งมั่นปรารถนาที่จะยึดมั่นในคำสั่งให้ใช้ของอัลลลอฮ์ ตะอาลา และนบีมูฮำหมัด(ซอลฯ) ท่านนบีกล่าวว่า
( تركتُ فيكم ما إن تَمَسَّكتم به لن تَضِلُّوا مِن بعدى أبدا كتابُ الله وسنتى )
“ ฉันได้ทิ้งสองสิ่งไว้แก่พวกท่าน เมื่อท่านทั้งหลายยึดถือสิ่งนั้น ท่านทั้งหลายจะไม่หลงทางหลังจากที่ฉันไม่อยู่ นั่นก็คือ อัลกรุอานและซุนนะห์ของฉัน ”
เนื่องจากความเป็นมนุษย์ จึงมีจิตใจที่และความคิดที่อ่อนไหว และแปรปรวนได้ง่าย ดังนั้น มนุษย์จะต้องยึดเอา อัลกุรอาน ไว้ เพื่อเยียวยา และทำให้จิตใจสงบ ตามเจตนารมของท่านรอซูล(ซอลฯ) จำเป็นที่เรานั้นจะต้องศึกษาแนวทางที่ได้ถูกชี้นำไว้ ทำจิตใจของเราให้บริสุทธิ์ จงเปิดจิตใจ รับแสงสว่างแห่งสัจธรรม ปฏิบัติสิ่งถูกบัญชาใช้ อย่างสมบูรณ์ ครบถ้วน มิใช่ปฏิบัติบ้างไม่ปฏิบัติบ้าง ละหมาดบ้าง ไม่ละหมาดบ้าง ด้วยความคิดตามแบบพวกที่เรียกตัวเองว่าเป็นมุสลิมสายกลาง แต่ความจริงแล้วมุสลิมหรือมุอ์มินนั้นจะต้องทำตามคำสั่งใช้อย่างเคร่งครัด หากขาดตกบกพร่องก็ต้องเป็นไปด้วยเหตุสุดวิสัย ต้องปฏิบัติชดใช้ และขออภัยโทษต่ออัลลอฮ นั่นจึงจะเรียกได้ว่ามุอมินที่แท้จริง
(وَمَن يَتَّقِ اللَّهَ يَجْعَل لَّهُ مَخْرَجاً وَيَرْزُقْهُ مِنْ حَيْثُ لَا يَحْتَسِبُ وَمَن يَتَوَكَّلْ عَلَى اللَّهِ فَهُوَ
حَسْبُهُ)
“และผู้ใดยำเกรงอัลลอฮ์ พระองค์ก็จะทรงหาทางออกให้แก่เขา และจะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่เขาจากที่ที่เขามิได้คาดคิด และผู้ใดมอบหมายแด่อัลลอฮ์ พระองค์ก็จะทรงเป็นผู้พอเพียงแก่เขา ”
พอเพียงแล้วที่มนุษย์จะยึดเอาอัลลอฮ เป็นผุ้ให้ทางนำ และผู้ช่วยเหลือ พอเพียงแล้วที่มนุษย์จะ ปฏิบัติตามท่านศาสดา ในฐานะที่เป็นผู้ แจ้งข่าวและเป็นผู้ที่สอนสั่ง
(وَأَطِيعُوا اللَّهَ وَأَطِيعُوا الرَّسُولَ فَإِن تَوَلَّيْتُمْ فَإِنَّمَا عَلَى رَسُولِنَا الْبَلَاغُ الْمُبِينُ)
“และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮ์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามร่อซู้ล ถึงแม้พวกเจ้าผินหลังให้ (ไม่เชื่อฟัง) แต่หน้าที่ของร่อซู้ลของเราก็คือการเผยแผ่อันชัดแจ้ง ”

ศรัทธาชนที่เคารพ
ในเมื่อเราอยู่บนโลกใบนี้ โลกที่เต็มไปด้วยความชั่วช้า โลกที่เต็มไปด้วยสิ่งชั่วร้าย ที่ศัตรูของอิสลามได้ฝังราก และแตกแขนงแผ่กิ่งก้านไปทั่วทุกมุมโลก เราในฐานะมุมิน ประชาชาติของท่านรอซู้ล จำเป็นอย่างยิ่งต้องปฏิบัตตนให้อยู่ในกรอบ สร้างเกราะป้องกันด้วยกับการศรัทธา ด้วยอิบาดะห์ และประพฤติตนให้มีคุณธรรม และจริยธรรม อันจะนำมาซึ่งความสงบสุขในโลกนี้ และได้รับชัยชนะและความผาสุกในโลกอาคิเราะห์ ตามแบบอย่างแนวทางของท่านรอซู้ลมุฮำหมัด(ซอลฯ)